การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุด

การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุด
————————————
วันนี้ (๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นวันคล้ายวันเกิดของผมทางสุริยคติ และต้องถือว่าเป็นวันดี คือทางจันทรคติเป็นวันหลังวันพระ ซึ่งเป็นวันรักษาอุโบสถศีลเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่งในจำนวน ๓ วันในหนึ่งสัปดาห์ คือ วันโกน เรียกกันว่า “วันรับ” วันพระ เรียกกันว่า “วันถือ” และหลังวันพระ เรียกกันว่า “วันส่ง”
วันธรรมดาผมรักษาเบญจศีลเป็นปกติ-ปกติในความหมายว่า-ไม่ได้ตั้งจิตสมาทานเป็นพิเศษ เพราะสมาทานเป็นชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ตามความหมายของ “ศีล” ที่แปลว่า “ปกติ”
ปกติวันพระผมไปนอนค้างที่วัดร่วมกับญาติมิตรที่รักษาอุโบสถศีล ตอนเช้ามืดตีสี่ก็ลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้วปฏิบัติจิตภาวนา พอสายๆ ก็กลับบ้าน แต่มาสักสองสามปีมานี้ไม่ค่อยสะดวกจึงอยู่วัดแค่จนถึงเย็นแล้วกลับมานอนบ้าน เช้าก็ลุกขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ตามลำพัง
วันเกิดของผมวันนี้ก็เลยได้ไหว้พระสวดมนต์ฉลองวันเกิดตั้งแต่เช้า
—————-
ผมถือว่าตัวเองโชคดีที่เกิดมาได้เห็นวัฒนธรรม ๒ ยุค
ผมเกิดตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕๐ สตางค์ และอยู่มาจนก๋วยเตี๋ยวชามละ ๕๐ บาท
ผมเกิดมาในยุคที่ผู้ใหญ่ตีด่าเด็กในหมู่บ้านได้ทุกคน และอยู่มาจนถึงยุคที่-ลูกข้าใครอย่าแตะ
ผมเกิดมาได้เห็นคนเข้าวัดถอดรองเท้าตั้งแต่เข้าประตูวัด และอยู่มาจนถึงได้เห็นคนใส่รองเท้าย่ำขึ้นไปจนถึงองค์พระสถูปเจดีย์
ผมเกิดมาได้เห็นชาวบ้านเดินสวนทางกับพระเขาจะนั่งลงกับพื้น ยกมือประนมไหว้ รอจนพระเดินผ่านไปแล้วจึงลุกขึ้น และอยู่มาจนได้เห็นชาวบ้านเดินทื่อเข้าใส่พระจนพระต้องหลบลงไปเดินข้างทาง
—————-
ตัวผมเองก็มีนิสัย ๒ ยุค
ผมเคยเป็นคนขี้เหนียวชนิดที่ภาษาปากสมัยนี้เขียนว่า “มั่กๆ” เพื่อนฝูงเอาซองกฐินผ้าป่ามาแจก ผมจะด่าในใจว่า ทำไมจะต้องมารีดไถกู
แต่ตอนนี้ เพื่อนฝูงทอดกฐินผ้าป่าไม่เอาซองมาแจกหรือไม่บอกผม ผมจะด่ามันดังๆ ว่า ทำไมมึงไม่เห็นหัวกู
ปกติผมบริจาคทรัพย์เป็นทานมัยทุกวัน เฉพาะวันนี้บริจาคมากเป็นพิเศษ แต่ในแง่การบริจาคก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ คือจะมากจะน้อยก็บริจาคเป็นปกติ
เป็นอันว่า หลักไตรสิกขาสำหรับชาวบ้าน คือ ทาน ศีล ภาวนา ผมสามารถปฏิบัติได้ตามสัตติกำลังจนเป็นปกติ
ที่ว่ามานี้ไม่ใช่จะอวด เพียงแต่จะบอกว่าทุกคนสามารถปฏิบัติได้เหมือนผม หรือปฏิบัติได้ดีกว่าผม-ถ้ามีความตั้งใจจะพัฒนาตัวเอง
—————-
ผมก็เหมือนมนุษย์ปุถุชนทั่วไป เมื่อทำงานอะไร ก็อยากให้ได้รับผลตอบแทน-อย่างตอนที่รับราชการ สิ้นปีก็อยากได้สองขั้นเป็นบำเหน็จผลงาน
จนกระทั่งมาศึกษาพระบรมราโชวาทตอนเป็นวิทยากรโครงการเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท จึงได้บรรลุธรรม-ว่า ทำงานจนงานเสร็จนั่นแหละคือบำเหน็จอยู่แล้วในตัว หรือ-ความสำเร็จของงานเป็นรางวัลอยู่แล้วในตัว
กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ นานมาก และยาก “มั่กๆ”
อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ การทำงานกับการพักผ่อน
ผมก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่มองเห็นว่า การทำงานก็คือทำงาน ไม่ใช่พักผ่อน และถ้าจะพักผ่อนก็ต้องไม่ทำงาน
พระบรมราโชวาทอีกนั่นแหละที่ผมอัญเชิญมาศึกษาและได้ซึมซับว่า ถ้ามีความสุขกับการทำงาน การทำงานก็คือการพักผ่อน
ผมก็เลยค้นพบขุมทรัพย์อันประเสริฐว่า การทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุดสำหรับผม
—————-
ผมคิดว่า ถ้าอยู่ไปได้จนถึงอายุ ๘๐ ก็ถือว่าเป็นบุญ
พ่อผมตายตอนอายุ ๘๐ ผมอายุเท่าพ่อก็พอใจแล้ว
แต่ดูปริมาณงานที่วางอยู่ตรงหน้า อีก ๑๐๐ ปีผมก็ยังทำไม่หมด
ถ้าไม่มีกรรมมาตัดรอน วันเวลาที่เหลือต่อไปนี้ผมเชื่อแน่ว่าจะเป็นวันเวลาแห่งการพักผ่อนที่วิเศษสำหรับผม-วันเวลาที่ผมจะทำงานใช้หนี้พระศาสนา ซึ่งเป็นหนี้ที่ผมไม่มีวันชดใช้ได้หมดไม่ว่าจะตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ชาติ
ขอมอบความในใจนี้เป็นปฏิการะตามประสายากแด่ญาติมิตรทั้งปวง-ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์-ที่มีแก่ใจปรารถนาดีต่อผม
เราจะช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติพระศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ไปด้วยกันนะครับ-เพราะการทำงานคือการพักผ่อนที่วิเศษที่สุด
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
ฉลองวันเกิด
๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙
๒๑:๓๔