บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

การแทรกซึมเข้าสู่วงราชการ

การแทรกซึมเข้าสู่วงราชการ

—————————

เมื่อเดือนที่แล้ว มีญาติมิตรส่งประกาศของกรมราชทัณฑ์ฉบับหนึ่งมาให้อ่าน เป็นประกาศยกเลิกการรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในสังกัดกรมราชทัณฑ์

ข้อใหญ่ใจความก็คือ กรมราชทัณฑ์ประกาศรับสมัครอนุศาสนาจารย์ แต่ไม่ระบุวุฒิการศึกษาว่าต้องจบมาทางพระ ใครจบปริญญาตรีก็มาสมัครได้ ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำลายพื้นฐานของอนุศาสนาจารย์ เนื่องจากตามหลักการนั้นอนุศาสนาจารย์ต้องเป็นผู้จบมาทางพระโดยตรง 

แต่ที่สำคัญ มีผู้อ่านเกมว่าเป็นการเปิดช่องให้ต่างศาสนา-โดยเฉพาะคือมุสลิม-แทรกตัวเข้ามาในสายงานอนุศาสนาจารย์ได้อย่างสบาย

ที่อ่านเกมแบบนี้ก็เพราะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ออกประกาศรับสมัครนั้นเป็นมุสลิม

ประกาศ (ยกเลิก) ของกรมราชทัณฑ์ให้เหตุผลว่า การประกาศ (รับสมัคร) ดังกล่าวได้กำหนดคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดไว้ในการสอบตำแหน่งนักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ 

หมายความว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับสมัคร “นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ” ก็ไม่ได้กำหนดว่าต้องจบมาทางพระโดยเฉพาะ กรมราชทัณฑ์ก็เลยเอาแบบนั้นบ้าง แต่เรียกชื่อตำแหน่งว่า “นักทัณฑวิทยาปฏิบัติการ (ด้านอนุศาสนาจารย์)”

———–

มีคนบอกผมว่า เดี๋ยวนี้ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็มีข้าราชการที่เป็นมุสลิมแล้ว จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบ 

ถ้าจริง เป็นข้าราชการในตำแหน่งที่สอบเข้ามาแบบเปิดกว้างอย่างที่ว่านี้ใช่หรือไม่ 

ถ้าใช่ ในอนาคตอาจจะมี “ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด-” ที่เป็นมุสลิมก็ได้ รวมทั้งอาจมีมุสลิมได้เป็น “ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” ก็ได้ด้วย

ถึงตอนนั้น การบริหารงานพระพุทธศาสนาบ้านเราคงดูไม่จืด

เบื้องลึก-เบื้องหลังเป็นอย่างไร ผมไม่ทราบ แต่ดูตามเนื้อผ้าแล้วน่าคิด

———–

ว่ากันตามสิทธิ เมื่อเข้าเป็นข้าราชการได้ ก็มีสิทธิ์เจริญก้าวหน้าได้ และมีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยงานนั้นๆ ได้ 

อย่างที่เคยมีผู้บัญชาการทหารบกเป็นมุสลิม 

มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นมุสลิม 

มีอธิบดีเป็นมุสลิม 

ในทางการเมือง ก็มีรัฐมนตรีเป็นมุสลิมให้เห็นอยู่บ่อยๆ 

ยังขาดอยู่ก็แต่นายกรัฐมนตรีที่เป็นมุสลิม 

แต่แนวโน้มในอนาคตมีแน่ๆ

ที่ว่านี้ก็ต้องรวมไปถึงผู้นับถือศาสนาคริสต์ ตลอดจนศาสนาอื่นๆ อีกด้วย เมื่อเข้ารับราชการก็ต้องมีโอกาสเป็นอะไรๆ ได้เหมือนกันทั้งนั้น 

ที่ยกเฉพาะมุสลิมขึ้นเป็นประเด็น ก็เพราะข้าราชการที่นับถือศาสนาอื่นไม่มีปฏิกิริยาทางสังคมมากนัก ต่างจากมุสลิมที่ต้องแสดงฤทธิ์หรือแผลงฤทธิ์ทุกที่ที่ได้เป็นใหญ่

แผลงฤทธิ์แต่ละที พลิกแผ่นดินได้ทั้งนั้น

———–

กิจการอนุศาสนาจารย์เริ่มมีที่กองทัพก่อน

กล่าวเฉพาะสายงานอนุศาสนาจารย์ในกองทัพ ภารกิจหลักก็คือการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรม และเป็นที่ปรึกษาด้านจิตใจให้แก่กำลังพล

ภารกิจนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ อันเป็นยุคสมัยที่กิจการอนุศาสนาจารย์มีกำเนิดขึ้นอย่างเป็นหลักเป็นฐาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์ท่านเมื่อคราวส่งทหารไทยไปในราชการสงครามที่ยุโรปเมื่อ พศ.๒๔๖๑ โดยทรงมีพระราชประสงค์ให้อนุศาสนาจารย์ทำหน้าที่เสมือนเป็นพระของทหาร

หลังจากได้กำเนิดขึ้นในกองทัพบกแล้ว กิจการอนุศาสนาจารย์ก็ขยายตัวไปยังกองทัพเรือ กองทัพอากาศ ขยายต่อไปถึงกรมตำรวจ กรมการศาสนา และกรมราชทัณฑ์

ที่กรมตำรวจ กิจการอนุศาสนาจารย์ปลูกไม่ขึ้น มีเฉพาะตัวบุคคลอยู่ช่วงเดียว พอท่านผู้นั้นเกษียณอายุราชการ กิจการอนุศาสนาจารย์ที่กรมตำรวจก็เกษียณตามไปด้วย จนทุกวันนี้พัฒนามาเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีใครนึกถึงตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ตำรวจอีกเลย

ส่วนที่กรมการศาสนาก็ร่วงโรยลงไป จนเมื่อปรับปรุงหน่วยราชการแยกออกมาตั้งเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ก็หายไปอีกหน่วยหนึ่ง

ที่กรมราชทัณฑ์ยังมีตำแหน่งอนุศาสนาจารย์อยู่ตามเรือนจำต่างๆ แต่ที่อยู่ในกรมจริงๆ ก็เปลี่ยนชื่อเป็นอย่างอื่น

เนื่องจากรากเดิมของอนุศาสนาจารย์มีกำเนิดมาจากพระ ดังนั้นทุกหน่วยงานที่เปิดตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ขึ้นจึงกำหนดคุณสมบัติยืนพื้น-อย่างที่พูดภาษาง่ายๆ-ว่าต้องจบมาจากพระ

ข้อนี้ไม่ควรสงสัยเลย สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ เมื่อจะให้มี “พระประจำหน่วย” ก็ย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าผู้ทำหน้าที่นี้ต้องมาจากพระ

ด้วยเหตุดังแสดงมา การที่หน่วยงานไหนรับสมัครคนเข้ามาทำงานด้านอนุศาสนาจารย์ แต่ไม่กำหนดคุณสมบัติให้ชัดลงไปว่าต้องจบมาจากพระ หากแต่เปิดกว้างให้ผู้จบจากสายทั่วไปสมัครเข้ามาได้ จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากต้องมองว่าเป็นการทำลายรากฐานของงานอนุศาสนาจารย์ของสังคมไทยนั่นเอง

นอกจากเป็นการทำลายรากฐานของงานอนุศาสนาจารย์แล้ว ยังเปิดทางให้ศาสนาอื่นแทรกเข้ามาแทนที่ได้ด้วย โดยเฉพาะก็คือศาสนาอิสลาม

พูดอย่างนี้ถูกมองได้ว่าเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ 

แต่ต้องมองให้ถูกประเด็นจึงจะเห็นเหตุผล

สังคมไทยเป็นสังคมพุทธ และเป็นสังคมอันหนึ่งอันเดียวกันมาตลอดเวลาอันยาวนาน

ใครเข้ามาอยู่ในสังคมไทยต้องเข้าใจและต้องยอมรับความเป็นจริงข้อนี้

วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กิจวัตร ที่เป็นของสังคมไทย ก็คือวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กิจวัตร ที่อิงแอบแนบแน่นอยู่กับพระพุทธศาสนา

แต่พร้อมกันนั้น สังคมไทยก็ไม่ได้ห้ามคนต่างศาสนาไม่ให้ปฏิบัติตามวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กิจวัตรในศาสนาของตน และไม่เคยบังคับให้คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาต้องปฏิบัติตามวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กิจวัตร ที่เป็นของพุทธแต่ประการใด

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่เคยมีปัญหากับใคร

มีแต่ใครที่ชอบทำปัญหาให้กับเรา

เช่น 

โต๊ะหมู่บูชา พระพุทธรูป เคยตั้งอยู่ตรงนั้น พอมุสลิมมาเป็นใหญ่ก็ต้องย้ายออก

พิธีอย่างนี้ๆ เคยได้ไหว้พระกราบพระก่อน ก็ทำไม่ได้ เพราะมุสลิมที่มาเป็นใหญ่ท่านห้ามตั้งพระพุทธรูป

อย่างนี้เป็นต้น

พูดให้เข้าใจชัดๆ ว่า เราไม่เคยเกลียดเขา แต่เขาเกลียดเรา

อันที่จริง หลักสากลก็คือ ใครเข้าไปเป็นสมาชิกในสังคมไหนก็ต้องปฏิบัติตามกฎกติกามารยาทของสังคมนั้น 

ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้ ก็อย่าเข้าไป

แต่พี่น้องมุสลิมของเราไม่เป็นอย่างนั้น – ฉันต้องมีสิทธิ์เข้าไปในสังคมนั้น และฉันก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะได้ทำตามหลักศาสนาของฉันในสังคมนั้นด้วย

มีตัวอย่างจากของจริงที่สามารถเห็นได้อยู่ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง

ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่-สิ่งที่ฉันมีสิทธิ์ต้องได้ทำนั้นมันมักไปกระทบวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต กิจวัตร ที่เป็นของสังคมเดิมเข้าด้วยเสมอ

เพราะฉะนั้น มุสลิมเข้าที่ไหนก็จะประกาศลักษณะเฉพาะ คือ

๑ เมื่อยังไม่ได้เป็นใหญ่ ก็แยกพวก

๒ ถ้าได้เป็นใหญ่ ก็ยกเลิกสังคมเดิม

ขอเรียนย้ำว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อให้เกลียดพี่น้องมุสลิม เพราะเราไม่เกลียดใครอยู่แล้ว แต่พูดจากสิ่งที่พี่น้องมุสลิมเคยทำไว้ กำลังทำอยู่ และเชื่อแน่ว่าจะต้องทำต่อไปอีก

———–

ในกองทัพ ก็เคยมีความพยายาม (และคาดว่าลึกๆ แล้วขณะนี้น่าจะยังมีอยู่) ที่จะให้มีอนุศาสนาจารย์มุสลิม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะยังตอบคำถามไม่ได้ว่า-ถ้าอนุศาสนาจารย์มุสลิมสั่งไม่ให้ทหารไทยที่เป็นมุสลิมออกรบ อะไรจะเกิดขึ้น 

แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าอนุศาสนาจารย์มุสลิมสั่งให้ทหารไทยที่เป็นมุสลิมหันปากกระบอกปืนไปทางผู้บังคับบัญชาที่ไม่ใช่มุสลิม อะไรจะเกิดขึ้น

———–

เป็นที่เห็นได้ชัดตลอดมาว่า มุสลิมเข้าที่ไหน ก็ไปแยกพวกที่นั่น ข้ออ้างที่ยิ่งใหญ่ก็คือ สิ่งนั้นที่มีอยู่ และการกระทำเช่นนั้นที่ทำกันอยู่ ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม จึงจะให้มีอยู่ต่อไม่ได้ และจะให้ปฏิบัติตามไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องแยกพวก

ที่แยกแล้วในเวลานี้ก็คือ ทหารกองประจำการที่เป็นมุสลิมโรงเลี้ยงต้องแยกครัวต่างหาก

ถ้าในกองทัพไทยมีอนุศาสนาจารย์มุสลิม กองทัพก็มีรอยแตกแยกทันที

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการมีกองทัพมุสลิมซ้อนอยู่ในกองทัพไทย

อันที่จริงทุกวันนี้กองทัพของเราก็แบ่งแยกอยู่แล้ว ทหารบกเรียก “เหล่า” หรือภาษาชาวบ้านเรียก “คอ” เช่น คอราบ คอม้า คอช่าง ทหารเรือเรียก “พรรค” เช่น พรรคนาวิน พรรคกลิน พรรคนาวิกโยธิน

แต่นี่เป็นการแบ่งแยกตามหน้าที่หรือตามภารกิจ 

แยกอย่างไรก็ยังเป็นหนึ่ง คือยังเป็นกองทัพไทยกองทัพเดียว

แต่มุสลิมแยกด้วยข้ออ้างทางศาสนาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับหน้าที่หรือภารกิจใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าหน่วยราชการไหนที่มีตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ แล้วเปิดให้มีอนุศาสนาจารย์มุสลิม นั่นเท่ากับเปิดทางให้เกิดการแบ่งแยกขึ้นในหน่วยทันที

———–

ผมเชื่อว่า ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองไม่คิดให้รอบคอบ ในอนาคตอนุศาสนาจารย์มุสลิมต้องมีในกองทัพไทยอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นกองทัพไทยกับพระพุทธศาสนาก็จะแยกขาดจากกัน 

อวสานของพระพุทธศาสนาจากแผ่นดินไทย อยู่ไม่ไกล

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๘

๑๗:๔๐

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *