บาลีวันละคำ

อวิตถตา (บาลีวันละคำ 4,612)

อวิตถตา

คำที่ควรรู้จักให้ครบชุด

อ่านว่า อะ-วิ-ตะ-ถะ-ตา

แยกศัพท์ตามที่ตาเห็นเป็น + วิ + ตถตา

(๑) “

บาลีอ่านว่า อะ แปลงรูปมาจาก “” (นะ) เป็นศัพท์จำพวกนิบาต แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)

แปลง เป็น ตามกฎการประสมของ + กล่าวคือ :

(1) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แปลง เป็น

(2) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ (อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ) แปลง เป็น อน

ในที่นี้คำหลังคือ “วิตถตา” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ จึงต้องแปลง เป็น

(๒) “วิ

เป็นคำที่ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “อุปสรรค” หมายถึง คำสำหรับใช้เติมข้างหน้าคำนามหรือคำกริยาที่เป็นรูปคำบาลีหรือสันสกฤตให้มีความหมายแผกเพี้ยนไปจากเดิม หรือมีความหมายตรงข้ามกับความหมายเดิมเป็นต้น และถือเป็นคำเดียวกับคำนามหรือคำกริยานั้น เพราะตามปรกติจะไม่ใช้ตามลำพัง เช่น –

วัฒน์ = เจริญ 

อภิวัฒน์ = เจริญยิ่ง 

ปักษ์ = ฝ่าย

ปฏิปักษ์ = ฝ่ายตรงข้าม, ข้าศึก, ศัตรู.

ตามตัวอย่างนี้ “อภิ” และ “ปฏิ” คือคำอุปสรรค

คำอุปสรรคในบาลีมีประมาณ 20 คำ “วิ” เป็นคำหนึ่งในจำนวนนั้น มีคำแปลที่นักเรียนบาลีท่องจำกันได้ว่า “วิ = วิเศษ, แจ้ง, ต่าง

วิเศษ” และ “ต่าง” ในที่นี้หมายถึง แปลกไปจากปกติ, ไม่ใช่สิ่งที่มีที่เป็นอยู่ตามปกติ, ไม่เหมือนพวกที่เป็น ที่เห็น ที่มีกันอยู่ตามปกติ

(๓) “ตถตา” 

อ่านว่า ตะ-ถะ-ตา ประกอบด้วย ตถ + ตา

(ก) “ตถ” อ่านว่า ตะ-ถะ รากศัพท์มาจาก ตถฺ (ธาตุ = จริง, แท้) + (อะ) ปัจจัย

: ตถ + = ตถ แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่จริงแท้” หมายถึง แท้, จริง; โดยแท้, ไม่มุสา (true, real; in truth, truthful)

ในคัมภีร์แสดงไว้ว่า สิ่งที่พระพุทธศาสนาสอนว่าเป็น “ตถะ” มี 4 อย่าง คืออริยสัจสี่ ตามคำที่ท่านว่า –

(1) ทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นของจริงแท้

(2) สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นของจริงแท้

(3) นิโรธ ความดับทุกข์ เป็นของจริงแท้

(4) มรรค ทางให้ถึงความดับทุกข์ เป็นของจริงแท้

(ข) “ตา” เป็นปัจจัยในภาวตัทธิต (ตัทธิต เป็นแขนงหนึ่งของบาลีไวยากรณ์ ว่าด้วยศัพท์ที่ใช้ปัจจัยต่อท้ายแล้วมีความหมายต่างๆ กันไป)

ภาวตัทธิต” (พา-วะ-ตัด-ทิด) คือศัพท์ที่ลงปัจจัยจำพวกหนึ่ง (นอกจาก “ตา” แล้วยังมีปัจจัยอื่นอีก) แปลว่า “ความเป็น–” เช่น “ธมฺมตา” (ทำ-มะ-ตา) = “ความเป็นแห่งธรรม” ที่เราเอามาใช้ว่า “ธรรมดา

สรุปสั้น ๆ “า” เป็นคำจำพวก “ปัจจัย” ใช้ต่อท้ายศัพท์ ทำให้คำที่มี “ตา” ต่อท้ายเป็นคำนาม แปลว่า “ความ-” หรือ “ความเป็น-”

ตถ + ตา = ตถตา (ตะ-ถะ-ตา) แปลตามศัพท์ว่า “ความเป็นแห่งสิ่งที่จริงแท้” หมายถึง ความเป็นเช่นนั้น, การเป็นเช่นเดียวกันนั้น, ความเป็นจริง (state of being such, such-likeness, similarity, correspondence)

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –

…………..

ตถตา : ความเป็นอย่างนั้น, ความเป็นเช่นนั้น, ภาวะที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของมันอย่างนั้นเอง คือเป็นไปตามเหตุปัจจัย (มิใช่เป็นไปตามความอ้อนวอนปรารถนา หรือการดลบันดาลของใครๆ) เป็นชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกกฎ ปฏิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา

…………..

การประสมคำ :

วิ + ตถตา = วิตถตา (วิ-ตะ-ถะ-ตา) แปลตามศัพท์ว่า “ความเป็นแห่งสิ่งที่จริงแท้อันต่างออกไป” หมายความว่า:

– เดิม “ตถตา” หมายถึง สิ่งที่จริงแท้

– แต่เมื่อมี “วิ” มานำหน้าเป็น “วิตถตา” ทำให้ความหมาย “ต่างออกไป” คือจาก “จริงแท้” กลายเป็น “ไม่จริงแท้” จากที่เคยเป็นจริงอย่างนั้น กลายเป็น-ผันแปรเป็นอย่างอื่น

สรุปว่า “วิตถตา” หมายถึง “ความผันแปร

+ วิตถตา = นวิตถตา > อวิตถตา (อะ-วิ-ตะ-ถะ-ตา) แปลว่า “ความไม่ผันแปร

กล่าวตรงไปตรงมา “อวิตถตา” มีความหมายเช่นเดียวกับ “ตถตา” นั่นเอง เป็นการแสดงรูปคำยักเยื้องออกไปเพื่อให้เข้าใจความหมายหนักแน่นแน่นอนขึ้น และมั่นใจยิ่งขึ้น

ขยายความ :

คำในชุดนี้มี 4 คำ คือ “ตถตา” (ตะ-ถะ-ตา) “อวิตถตา” (อะ-วิ-ตะ-ถะ-ตา “อนัญญถตา” (อะ-นัน-ยะ-ถะ-ตา “อิทัปปัจจยตา” (อิ-ทับ-ปัด-จะ-ยะ-ตา

คำแปลตามศัพท์ที่ท่านผู้รู้แปลไว้แต่เดิมเป็นดังนี้ –

ตถตา = ความมีเพราะปัจจัยอย่างนั้น

อวิตถตา = ความไม่มีที่จะไม่มีเพราะปัจจัยอย่างนั้น

อนัญญถตา= ความไม่มีธรรมอื่นเพราะปัจจัยอื่น

อิทัปปัจจยตา = ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้

แปลแบบถอดความหรือสกัดเอาความดังนี้ –

ตถตา = เป็นเช่นนั้นเอง

อวิตถตา = ไม่แปรผัน

อนัญญถตา = ไม่เป็นอย่างอื่น

อิทัปปัจจยตา = เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี

คำในชุดนี้มีความหมายตรงกันทุกคำ ใช้คำไหนก็โยงไปถึงกันได้หมด คือมีความหมายว่า เรื่องนั้นต้องเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีทางผันแปรเป็นอย่างอื่น เพราะปัจจัยของมันเป็นอย่างนั้น

คำในชุดนี้ที่นิยมเอาไปเอ่ยอ้างกันเนือง ๆ คือ “ตถตา” และ “อิทัปปัจจยตา” 

ส่วน “อวิตถตา” และ “อนัญญถตา” กล่าวได้ว่า ไม่มีใครรู้จัก

ผู้เขียนบาลีวันละคำขอนำมาแนะนำให้รู้จัก อุปมาเหมือนมีพี่น้องอยู่ 4 คน เมื่อรู้จัก 2 คนแล้ว ก็ควรรู้จักให้ครบทั้ง 4 คน

เมื่อรู้จักแล้ว เวลาเอาคำหนึ่งไปพูด ก็ควรจะนึกถึงอีก 3 คำได้ด้วย ไม่ใช่เอาไปเอ่ยอ้างกัน 2 คำ แล้วเลยเข้าใจผิดคิดว่ามีแค่ 2 คำ

…………..

ดูก่อนภราดา!

: เรียนเพื่อรู้

: รู้เพื่อปฏิบัติ

: ปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น

: พัฒนาตนเองดีขึ้นแล้วจึงสอน

#บาลีวันละคำ (4,612)

27-1-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *