คันถรจนาจารย์ (บาลีวันละคำ 4,629)

คันถรจนาจารย์
คืออาจารย์ระดับไหน
อ่านว่า คัน-ถะ-รด-จะ-นา-จาน
แยกศัพท์เป็น คันถ + รจนา + อาจารย์
(๑) “คันถ”
เขียนแบบบาลีเป็น “คนฺถ” อ่านว่า คัน-ถะ รากศัพท์มาจาก คนฺถฺ (ธาตุ = ผูก, แต่ง, ร้อยกรอง) + อ (อะ) ปัจจัย
: คนฺถฺ + อ = คนฺถ แปลตามศัพท์ว่า (1) “การผูก” “สิ่งอันเขาใช้ผูก” (2) “คำอันท่านผูกไว้”
“คนฺถ” (ปุงลิงค์) ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) เครื่องผูกมัด, เครื่องร้อยรัด, เครื่องพันธนาการ (a bond, fetter, trammel)
(2) ความเรียง, ต้นฉบับ, หนังสือ (composition, text, book)
ในที่นี้ “คนฺถ” ใช้ตามความหมายในข้อ (2)
บาลี “คนฺถ” สันสกฤตเป็น “คฺรนฺถ”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“คฺรนฺถ : (คำนาม) ร้อยกรองหรือผูก, การร้อยกรอง; ทรัพย์, ธน, สมบัติ; หนังสือกาพย์, หนังสือคำประพันธ์หรือกาพยรจนา; กาพย์หรือพฤตติ์สามสิบสองคำ; stringing or tying together; wealth, riches, property; a book or composition in verse; a metre or measure of thirty-two syllables.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“คันถ– : (คำนาม) คัมภีร์. (ป.; ส. คฺรนฺถ).”
(๒) “รจนา”
บาลีอ่านว่า ระ-จะ-นา รากศัพท์มาจาก รจฺ (ธาตุ = ประกอบ; จัดแจง; ขยายความ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะ-นะ) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: รจฺ + ยุ > อน = รจน + อา = รจนา แปลตามศัพท์ว่า (1) “การประกอบ” (2) “การจัดแจง” (3) “การขยายความ”
“รจนา” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) การจัด [ดอกไม้เป็นพวงมาลัย] (arrangement [of flowers in a garland])
(2) การแต่ง [หนังสือ] (composition [of a book])
บาลี “รจนา” สันสกฤตก็เป็น “รจนา”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“รจนา : (คำนาม) การจัดอันเรียบร้อย; การแต่งผม; การร้อยกรองดอกไม้, ฯลฯ.; การจัดขบวนทหาร; การแต่งหรือเรียงหนังสือ; การตกแต่งบ้านในคราวมีงาร; การทำอะไรต่ออะไรทั่วไป; orderly arrangement; dressing the hair; stringing flowers or wearing wreaths, &c.; the arrangement of troops; literary composition; decorating the house on festival occasions; making anything.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“รจนา : (คำกริยา) ตกแต่ง, ประพันธ์. (ป., ส.). (คำวิเศษณ์) งาม.”
(๓) “อาจารย์”
เป็นรูปคำสันสกฤต บาลีเป็น “อาจริย” อ่านว่า อา-จะ-ริ-ยะ รากศัพท์มาจาก –
(1) อา (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ยิ่ง) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ประพฤติเอื้อเฟื้อเกื้อกูลแก่ศิษย์”
(2) อา (จากศัพท์ “อาทิ” = เบื้องต้น) + จรฺ (ธาตุ = ศึกษา) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังศิษย์ให้ศึกษามาแต่ต้น”
(3) อา (จากศัพท์ “อาทร” = เอื้อเฟื้อ, เอาใจใส่) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้อันศิษย์พึงประพฤติ คือปรนนิบัติด้วยความเอาใจใส่”
(4) อา (แข็งแรง, จริงจัง, ยิ่งใหญ่) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้บำเพ็ญประโยชน์สุขแก่ศิษย์อย่างดียิ่ง”
(5) อา (แทนศัพท์ “อภิมุขํ” = ข้างหน้า, ตรงหน้า) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้อันศิษย์พึงประพฤติทำไว้ข้างหน้า” (คือศิษย์พึงดำเนินตาม)
(6) อา (แทนศัพท์ “อาปาณโกฏิกํ” = ตลอดชีวิต) + จรฺ (ธาตุ = ประพฤติ) + อิย ปัจจัย
: อา + จรฺ = อาจรฺ + อิย = อาจริย แปลตามศัพท์ว่า “ผู้อันศิษย์พึงประพฤติ คือพึงปรนนิบัติตลอดชีวิต”
“อาจริย” แปลทับศัพท์เป็นรูปสันสกฤตว่า “อาจารย์”
บาลี “อาจริย” สันสกฤตเป็น “อาจารฺย”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
“อาจารฺย : (คำนาม) ครู, ผู้สั่งสอน; a teacher.”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อาจารย์ : (คำนาม) ผู้สั่งสอนวิชาความรู้; คำที่ใช้เรียกนำหน้าชื่อบุคคลเพื่อแสดงความยกย่องว่ามีความรู้ในทางใดทางหนึ่ง. (ส.; ป. อาจริย).”
คันถ + รจนา + อาจารย์ = คันถรจนาจารย์ (คัน-ถะ-รด-จะ-นา-จาน) แปลว่า “อาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“คันถรจนาจารย์ : (คำนาม) อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์. (ป. คนฺถ + ป., ส. รจน + ส. อาจารฺย).”
ขยายความ :
คำว่า “คันถรจนาจารย์” พจนานุกรมฯ บอกความหมายว่า “อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์” ไม่มีคำอธิบายขยายความว่า แต่งคัมภีร์อะไรหรือคัมภีร์ชนิดไหน
ในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดว่า “คัมภีร์” ย่อมหมายถึงพระไตรปิฎกลงมาถึงอรรถกถาฎีกาอนุฎีกาและคัมภีร์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวด้วยพระไตรปิฎกเป็นต้น หรือถ้าจะชี้เฉพาะลงไปก็คือ คัมภีร์ที่เป็นภาษาบาลีทั้งหลาย
พระไตรปิฎกนั้นเป็นผลจากการรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยพระอรหันต์ประชุมกันทำกิจที่เรียกว่า “สังคายนา” โดยเฉพาะสังคายนาครั้งแรกซึ่งกระทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว 3 เดือน
การสังคายนาคือรวบรวมคำสอนครั้งนั้น ไม่ใช่การ “แต่งคัมภีร์” ขึ้นมาใหม่ หากแต่เป็นการรวบรวมคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าที่พระสาวกได้รับฟังรับรู้และทรงจำกันได้อยู่ในเวลานั้นไว้ให้เป็นหมวดหมู่ และรับรองกันว่าเป็นคำสอนที่ถูกต้องตรงกัน ไม่ได้แปลว่ามีใครไปนั่ง “แต่ง” คำสอนขึ้นมาใหม่
พระอรหันต์ที่ประชุมกันทำสังคายนาครั้งแรกนั้นมีจำนวน 500 องค์ มีคำที่ท่านใช้เรียกเป็นคำรวมในภายหลังว่า “พระธรรมสังคาหกาจารย์” แปลว่า “อาจารย์ผู้รวบรวมพระธรรม” เป็นอันยืนยันว่าพระอรหันต์เหล่านั้นไม่ได้เป็นผู้ “แต่ง” พระธรรมขึ้นมาใหม่ แต่เป็นผู้รวบรวมพระธรรมวินัยที่มีอยู่แล้วอันเกิดจากคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าศึกษาพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่ใช้เป็นแบบเรียนนักธรรมของคณะสงฆ์อยู่ในเวลานี้ เช่น วินัยมุข พุทธประวัติ เป็นต้น จะพบว่าท่านใช้คำว่า “พระคันถรจนาจารย์” อยู่เนือง ๆ เมื่ออ้างถึงข้อความในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา
จึงน่าจะสรุปเป็นเบื้องต้นได้ว่า คำว่า “คันถรจนาจารย์” ซึ่งแปลว่า “อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์” นั้น มักจะหมายถึงผู้แต่งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา
แต่ในคัมภีร์ชั้นพระไตรปิฎกนั่นเอง ในส่วนที่ไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง เช่น คำจำกัดความบางแห่งในพระวินัยปิฎก ที่เรียกว่า “คัมภีร์วิภังค์” สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสก็ทรงเรียกผู้ให้คำจำกัดความตอนนั้น ๆ ว่า “พระคันถรจนาจารย์” ด้วยเช่นกัน
ขอท่านผู้รักพระศาสนาพึงศึกษาเรียนรู้กันต่อไปเถิด
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เรียนเพื่อรู้
: รู้เพื่อปฏิบัติ
: มั่นใจว่าถูกต้องถ่องแท้แน่ชัด
: จึงค่อยบอกต่อ
#บาลีวันละคำ (4,629)
13-2-68
…………………………….
…………………………….