พระอารามหลวง (บาลีวันละคำ 4,674)

พระอารามหลวง
บาลีว่าอย่างไร
เมื่อพบคำที่เกิดใหม่ และอยากรู้ว่าคำนั้นถ้าแปลเป็นบาลีควรจะเป็นคำบาลีว่าอย่างไร วิธีที่ผู้เขียนบาลีวันละคำใช้อยู่ก็คือ ตรวจหาดูว่าคำใหม่คำนั้นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ได้ภาษาอังกฤษแล้วก็เปิดพจนานุกรมอังกฤษ-บาลี ถ้าคำนั้นมีในพจนานุกรมก็จะรู้ว่า คำบาลีว่าอย่างไร
คำว่า “พระอารามหลวง” ตรวจหาภาษาอังกฤษก็พบแปลเป็นอังกฤษว่า royal temple และ royal monastery
พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล royal เป็นบาลีดังนี้:
(1) rājakīya ราชกีย (รา-ชะ-กี-ยะ) = เป็นของพระราชา
(2) rājāyatta ราชายตฺต (รา-ชา-ยัด-ตะ) = เกี่ยวเนื่องกับพระราชา
(3) rājāraha ราชารห (รา-ชา-ระ-หะ) = คู่ควรแก่พระราชา
แปล temple เป็นบาลีดังนี้:
(1) devāyatana เทวายตน (เท-วา-ยะ-ตะ-นะ) = เขตแดนแห่งเทพ
(2) devaṭṭhāna เทวฏฺฐาน (เท-วัด-ถา-นะ) = เทวสถาน
(3) ārāma อาราม (อา-รา-มะ) = อาราม, วัด
(4) lalāṭanta ลลาฏนฺต (ละ-ลา-ตัน-ตะ) = กรอบหน้า
แปล monastery เป็นบาลีดังนี้:
(1) vihāra วิหาร (วิ-หา-ระ) = ที่อยู่, วัด
(2) assama อสฺสม (อัด-สะ-มะ) = อาศรม, สำนักฤษี
(3) yatinivāsa ยตินิวาส (ยะ-ติ-นิ-วา-สะ) = ที่อยู่นักพรต
(4) ārāma อาราม (อา-รา-มะ) = อาราม, วัด
ประมวลแล้ว คำที่น่าจะสื่อถึง “พระอารามหลวง” ได้ดีที่สุด คือ “ราชาราม” หรือ “ราชอาราม” และ “ราชวิหาร”
คำที่เป็นหลักคือ “ราช” “อาราม” “วิหาร”
(๑) “ราช”
บาลีอ่านว่า รา-ชะ รากศัพท์มาจาก –
(1) ราชฺ (ธาตุ = รุ่งเรือง) + อ (อะ) ปัจจัย
: ราชฺ + อ = ราช แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รุ่งเรืองโดยยิ่งเพราะมีเดชานุภาพมาก” หมายความว่า ผู้เป็นพระราชาย่อมมีเดชานุภาพมากกว่าคนทั้งหลาย
(2) รญฺชฺ (ธาตุ = ยินดี พอใจ) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ ลบ ญฺ แผลง ร เป็น รา
: รญฺชฺ + ณ = รญฺชณ > รญฺช > รช > ราช แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังคนทั้งหลายให้ยินดี” หมายความว่า เป็นผู้อำนวยความสุขให้ทวยราษฎร์ จนคนทั้งหลายร้องออกมาว่า “ราชา ราชา” (พอใจ พอใจ)
ท่านพุทธทาสภิกขุให้คำจำกัดความ “ราช” หรือ “ราชา” ว่าคือ “ผู้ที่ทำให้ประชาชนร้องออกมาว่า พอใจ พอใจ”
“ราช” หมายถึง พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน ใช้นำหน้าคำให้มีความหมายว่า เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน, เกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดิน หรือเป็นของหลวง หรือ เป็นของทางราชการ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ราช ๑, ราช– : (คำนาม) พระเจ้าแผ่นดิน, พญา (ใช้แก่สัตว์) เช่น นาคราช คือ พญานาค สีหราช คือ พญาราชสีห์, คํานี้มักใช้ประกอบกับคําอื่น, ถ้าคําเดียวมักใช้ว่า ราชา.”
(๒) “อาราม”
บาลีอ่านว่า อา-รา-มะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ยิ่ง) + รมฺ (ธาตุ = ยินดี) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ ร-(มฺ) เป็น อา (รมฺ > ราม)
: อา + รมฺ = อารมฺ + ณ = อารมณ > อารม > อาราม แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มายินดี”
“อาราม” ในภาษาบาลีมีความหมายดังนี้ –
(1) คำนาม : สถานที่อันน่ารื่นรมย์, สวน, อุทยาน (a pleasure-ground, park, garden)
(2) คำนาม : ความยินดี, ความชอบใจ, ความรื่นรมย์ (pleasure, fondness of, delight)
(3) คำคุณศัพท์ : ชอบใจ, เพลิดเพลิน, สบอารมณ์ (delighting in, enjoying, finding pleasure in)
นักบวชสมัยพุทธกาลพอใจที่จะพักอาศัยอยู่ตามป่าไม้ซึ่งปกติเป็นที่ร่มรื่น อันเป็นความหมายของ “อาราม” ดังนั้น คำว่า “อาราม” จึงหมายถึงสถานที่พักอาศัยของนักบวชด้วย
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
(1) อาราม ๑ : (คำนาม) วัด; สวนเป็นที่น่ารื่นรมย์. (ป., ส.).
(2) อาราม ๒ : (คำนาม) ความยินดี, ความรื่นรมย์, ความเพลิดเพลิน.
ในที่นี้ “อาราม” หมายถึง วัด
(๓) “วิหาร”
ภาษาไทยอ่านว่า วิ-หาน บาลีอ่านว่า วิ-หา-ระ รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + หรฺ (ธาตุ = อยู่อาศัย) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ ห-(รฺ) เป็น อา (หรฺ > หาร)
: วิ + หรฺ = วิหรฺ + ณ = วิหรณ > วิหร > วิหาร แปลตามศัพท์ว่า “นำอิริยาบถไปเป็นพิเศษ” หมายความว่า ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ หรือยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในที่นั้น อาการเช่นนั้นจึงเรียกว่า “วิหาร”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปลคำว่า “วิหาร” ไว้ดังนี้ –
(1) spending one’s time [sojourning or walking about], staying in a place, living; place of living, stay, abode [in general] (ใช้เวลา [พักแรมหรือเดินไปหา], พักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง, ดำรงอยู่; วิหาร, ที่อยู่, ที่อาศัย [โดยทั่วๆ ไป])
(2) state of life, condition, mode of life (การดำรงชีวิต, สถานะ, วิถีชีวิต)
(3) a habitation for a Buddhist mendicant, an abode in the forest, or a hut; a dwelling, habitation, lodging [for a bhikkhu], a single room (วิหาร, ที่พักอาศัยในป่า, หรือกระท่อม; ที่อยู่อาศัย, ที่พักพิง, กุฏิ [สำหรับภิกษุ], ห้องเดี่ยว)
(4) place for convention of the bhikkhus, meeting place; place for rest & recreation [in garden or park] (สถานที่ประชุมของภิกษุ, ที่ประชุม; สถานที่พักผ่อนและหย่อนใจ [ในสวนหรืออุทยาน])
(5) a larger building for housing bhikkhus, an organized monastery, a Vihāra (ตึกใหญ่สำหรับภิกษุทั้งหลายอยู่อาศัย, วัด, วิหาร)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วิหาร, วิหาร– : (คำนาม) วัด, ที่อยู่ของพระสงฆ์; ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป, คู่กับ โบสถ์; การพักผ่อน เช่น ทิวาวิหาร ว่า การพักผ่อนในเวลากลางวัน. (ป., ส.).”
ขยายความแทรก :
“วิหาร” ถ้าใช้เป็นอาการนาม มีความหมายว่า “การอยู่” ถ้าหมายถึงสถานที่ แปลว่า “ที่อยู่”
ในภาษาบาลี “วิหาร” ที่แปลว่า “ที่อยู่” โดยทั่วไปหมายถึง “วัด” (monastery สถานที่ทางศาสนา โดยปรกติเป็นที่อยู่ของสงฆ์) เช่น เวฬุวัน เชตวัน บุพพาราม ชีวกัมพวัน สถานที่เหล่านี้ล้วนมีฐานะเป็น “วิหาร” คือที่อยู่ของพระสงฆ์
ในภาษาไทย “วิหาร” เข้าใจกันในความหมายเฉพาะว่า อาคารที่สร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป คู่กับ “โบสถ์” คืออาคารที่สร้างเพื่อเป็นที่ทำสังฆกรรม
ในภาษาไทย เฉพาะอาคารหลังเดียวในวัด (ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป) เรียกว่า “วิหาร” ในภาษาบาลี พื้นที่หมดทั้งวัด เรียกว่า “วิหาร”
…………..
ราช + อาราม = ราชาราม (รา-ชา-ราม), ราชอาราม (ราด-ชะ-อา-ราม) = พระอารามหลวง
ราช + วิหาร = ราชวิหาร (ราด-ชะ-วิ-หาน) = พระอารามหลวง
หมายเหตุ: อ่านแบบคำไทย
ขยายความ :
ตามการจัดระเบียบพระอารามหลวง แบ่งพระอารามหลวงเป็น 3 ชั้น และมีคำบอกชนิดพระอารามหลวงดังนี้ –
(1) พระอารามหลวงชั้นตรี มี 3 ชนิด คือ –
ชนิดราชวรวิหาร
ชนิดวรวิหาร
ชนิดสามัญ (ไม่มีคำบอกชนิด ส่วนใหญ่จะต่อท้ายชื่อวัดว่า พระอารามหลวง)
(2) พระอารามหลวงชั้นโท มี 4 ชนิด คือ –
ชนิดราชวรมหาวิหาร
ชนิดราชวรวิหาร
ชนิดวรมหาวิหาร
ชนิดวรวิหาร
(3) พระอารามหลวงชั้นเอก มี 3 ชนิด คือ –
ชนิดราชวรมหาวิหาร
ชนิดราชวรวิหาร
ชนิดวรมหาวิหาร
…………..
ดูก่อนภราดา!
: พระราชทานฐานะพระอารามหลวง
เป็นหน้าที่ของพระราชศรัทธา
: ปฏิบัติมั่นอยู่ในศีลสมาธิปัญญา
เป็นหน้าที่ของผู้อยู่ในพระอาราม
#บาลีวันละคำ (4,674)
30-3-68
…………………………….
…………………………….
