มหาสังฆสันนิบาต (บาลีวันละคำ 4,715)

มหาสังฆสันนิบาต
ใครทำอะไร
อ่านว่า มะ-หา-สัง-คะ-สัน-นิ-บาด
แยกศัพท์เป็น มหา + สังฆ + สันนิบาต
(๑) “มหา”
อ่านว่า มะ-หา ในภาษาไทยพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มหา ๑ : (คำวิเศษณ์) ใหญ่, ยิ่งใหญ่, มักใช้เป็นส่วนหน้าของสมาส บางทีก็ลดรูปเป็น มห เช่น มหรรณพ มหัทธนะ มหัศจรรย์.”
คำว่า “มหา” รูปคำเดิมในบาลีเป็น “มหนฺต” อ่านว่า มะ-หัน-ตะ รากศัพท์มาจาก มหฺ (ธาตุ = เจริญ) + อนฺต ปัจจัย
: มหฺ + อนฺต = มหนฺต แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่ขยายตัว” มีความหมายว่า ยิ่งใหญ่, กว้างขวาง, โต; มาก; สำคัญ, เป็นที่นับถือ (great, extensive, big; much; important, venerable)
“มหนฺต” เป็นคำเดียวกับที่ใช้ในภาษาไทยว่า “มหันต์”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มหันต-, มหันต์ : (คำวิเศษณ์) ใหญ่, มาก, เช่น โทษมหันต์. (เมื่อเข้าสมาสกับศัพท์อื่น เป็น มห บ้าง มหา บ้าง เช่น มหัคฆภัณฑ์ คือ สิ่งของที่มีค่ามาก, มหาชน คือ ชนจำนวนมาก). (ป.).”
ในที่นี้ มหันต– เข้าสมาสกับ –สังฆ เปลี่ยนรูปเป็น “มหา”
(๒) “สังฆ”
เขียนแบบบาลีเป็น “สงฺฆ” อ่านว่า สัง-คะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + หนฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ง (สํ > สงฺ), แปลง หนฺ เป็น ฆ
: สํ > สงฺ + หนฺ > ฆ + อ = สงฺฆ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า –
(1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน” หมายความว่า ส่วนย่อยที่มีคุณสมบัติหลักๆ “ไม่แปลกกัน” คือมีคุณสมบัติตรงกัน เหมือนกัน ส่วนย่อยดังกล่าวนี้ไปอยู่รวมกัน คือเกาะกลุ่มกัน ดังนี้เรียกว่า “สงฺฆ”
(2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน” ความหมายนี้เล็งที่บรรพชิตหรือสาวกที่เป็นนักบวชในลัทธิศาสนาต่างๆ เช่นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นต้น ต้องมีความคิดเห็นและความประพฤติลงรอยกันจึงจะรวมเป็น “สงฺฆ” อยู่ได้
“สงฺฆ” จึงหมายถึง หมู่, กอง, กลุ่ม, คณะ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สงฺฆ” เป็นอังกฤษว่า –
(1) multitude, assemblage (ฝูงชน, ชุมนุมชน, หมู่, ฝูง)
(2) the Order, the priesthood, the clergy, the Buddhist church (คณะสงฆ์, พระ, นักบวช, พุทธจักร)
(3) a larger assemblage, a community (กลุ่มใหญ่, ประชาคม)
“สงฺฆ” ปกติในภาษาไทยใช้ว่า “สงฆ์” ถ้าอยู่หน้าคำสมาสมักใช้เป็น “สังฆ-”
“สงฆ์” ในพระพุทธศาสนามีความหมาย 2 อย่าง คือ –
(1) “สาวกสงฆ์” หมายถึงหมู่สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ได้บรรลุธรรมในภูมิอริยบุคคลคือเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ดังคำสวดในสังฆคุณที่ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
(2) “ภิกขุสงฆ์” หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางพระวินัย
บางทีเรียกอย่างแรกว่า “อริยสงฆ์” อย่างหลังว่า “สมมติสงฆ์”
ในที่นี้ “สงฺฆ – สงฆ์” หมายถึง หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า
(๓) “สันนิบาต”
บาลีเป็น “สนฺนิปาต” อ่านว่า สัน-นิ-ปา-ตะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน) + นิ (คำอุปสรรค = ลง) + ปตฺ (ธาตุ = ตก) + ณ ปัจจัย
กฎ : แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น น, ยืดเสียงที่พยางค์แรกของธาตุ คือ ป เป็น ปา (ภาษาไวยากรณ์เรียกว่า “ทีฆะ อะ เป็น อา”) ทั้งนี้ด้วยอำนาจของ ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: สํ + นิ + ปตฺ = สํนิปตฺ + ณ = สํนิปตณ > สํนิปต > สนฺนิปต > สนฺนิปาต (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การตกลงพร้อมกันโดยไม่เหลือ”
“สนฺนิปาต” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –
(1) การรวมกัน, การมาบรรจบกัน (union, coincidence)
(2) การประชุม, การสันนิบาต, การชุมนุมกัน (assemblage, assembly, congregation)
(3) การประชุมของปัจจัยที่เป็นปฎิปักษ์ต่อร่างกาย (union of the humours of the body) (ที่เราพูดกันว่า “ไข้สันนิบาต”)
(4) การจัดวางลงด้วยกัน (collocation)
บาลี “สนฺนิปาต” ในภาษาไทยใช้เป็น “สันนิบาต” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “สันนิบาต” ไว้ 2 คำ บอกไว้ดังนี้ –
(1) สันนิบาต ๑ : (คำนาม) การประชุม, ที่ประชุม, เช่น สังฆสันนิบาต สันนิบาตชาติ, งานชุมนุม เช่น รัฐบาลจัดงานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบรัฐบาล.
(2) สันนิบาต ๒ : (คำนาม) เรียกไข้ชนิดหนึ่งมีอาการสั่นเทิ้ม ชักกระตุก และเพ้อ ว่า ไข้สันนิบาต เช่น ไข้สันนิบาตลูกนก ไข้สันนิบาตหน้าเพลิง. (ป., ส.).
โปรดสังเกตว่า “สันนิบาต ๑” พจนานุกรมฯ ไม่ได้บอกที่มาของคำ แต่ “สันนิบาต ๒” บอกไว้ว่า “(ป., ส.)” คือมาจากบาลีและสันสกฤต
อันที่จริง “สันนิบาต ๑” ที่หมายถึง “การประชุม, ที่ประชุม” นั้น มาจากบาลีและสันสกฤตโดยแท้ แต่ “สันนิบาต ๒” ที่หมายถึง “ไข้ชนิดหนึ่ง” นั่นต่างหากที่ในบาลีใช้ในที่บางแห่งเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าในบาลีแทบไม่พบความหมายนี้ แต่ที่หมายถึง “การประชุม” นั้น พบได้ทั่วไป
การประสมคำ :
๑ สงฺฆ + สนฺนิปาต = สงฺฆสนฺนิปาต (สัง-คะ-สัน-นิ-ปา-ตะ) แปลว่า “การประชุมแห่งภิกขุสงฆ์” หมายถึง พระภิกษุสงฆ์มาชุมนุมกัน
๑ มหนฺต + สงฺฆสนฺนิปาต = มหนฺตสงฺฆสนฺนิปาต > มหาสงฺฆสนฺนิปาต (มะ-หา-สัง-คะ-สัน-นิ-ปา-ตะ) แปลว่า “การประชุมครั้งสำคัญแห่งภิกขุสงฆ์” แปลว่า พระภิกษุสงฆ์มาชุมนุมกันครั้งใหญ่
“มหาสงฺฆสนฺนิปาต” ใช้ในภาษาไทยเป็น “มหาสังฆสันนิบาต” บางทีเรียก “มหาสันนิบาต” “สาวกสันนิบาต” หรือ “สันนิบาต” คำเดียวก็เป็นอันรู้กัน โดยปกติหมายถึง เหตุการณ์ในพุทธประวัติที่พระอรหันตสาวกมาชุมนุมกันเป็นกรณีพิเศษ เช่น-ถ้าเป็นเหตุการณ์ในสมัยพระพุทธเจ้าของเราพระองค์ปัจจุบัน ก็คือการประชุมที่เรารู้จักกันในนาม “จาตุรงคสันนิบาต” ที่พระอรหันตสาวก 1,250 องค์มาชุมนุมกันที่เวฬุวัน เมืองราชคฤห์ และพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ชุมนุมนั้น การชุมนุมลักษณะนี้ สมัยพระพุทธเจ้าของเรามีเพียงครั้งเดียว แต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีตบางพระองค์มีหลายครั้ง
ขยายความ :
คัมภีร์พุทธวงศ์ (พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 2-25) แสดงรายละเอียด “มหาสังฆสันนิบาต” “มหาสันนิบาต” “สาวกสันนิบาต” หรือ “สันนิบาต” ของพระพุทธเจ้าในอดีตทั้ง 24 พระองค์ ปรากฏจำนวนครั้งของการชุมนุมสงฆ์สาวกเป็น 2 จำนวน คือ 3 ครั้ง และ 1 ครั้ง
พระพุทธเจ้าที่มีการชุมนุมสงฆ์สาวก 3 ครั้ง คือพระองค์ที่ 1 ถึงพระองค์ที่ 21 กล่าวคือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธัมมทัสสี พระสิทธัตถะ พระติสสะ พระปุสสะ พระวิปัสสี พระสิขี และพระเวสสภู
พระพุทธเจ้าในอดีตที่มีการชุมนุมสงฆ์สาวก 1 ครั้ง คือพระองค์ที่ 22 ถึงพระองค์ที่ 24 กล่าวคือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ชุมนุมกันทำชั่ว แม้ตั้งแสนก็อัปรีย์
: ชุมนุมกันทำดี แม้คนสองคนก็ควรชม
#บาลีวันละคำ (4,715)
10-5-68
…………………………….
…………………………….