ชีวเคมี (บาลีวันละคำ 4,749)

ชีวเคมี
ไม่ต้องมีสระ อะ กลางคำ
อ่านว่า ชี-วะ-เค-มี
ประกอบด้วยคำว่า ชีว + เคมี
(๑) “ชีว”
อ่านว่า ชี-วะ รากศัพท์มาจาก ชีวฺ (ธาตุ = มีชีวิต) + อ (อะ) ปัจจัย
: ชีวฺ + อ = ชีว (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเหตุให้เป็นอยู่ได้” หมายถึง ชีวิต (ของแต่ละคน), เวลาที่ชีวิตดำรงอยู่, ช่วงของชีวิต, การเป็นอยู่; การดำรงชีพ ([individual] life, lifetime, span of life; living, livelihood)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
(1) ชีว– ๑, ชีวะ ๑ : (คำนาม) ชีพ, ความเป็น, ตรงข้ามกับ ความตาย. (ป., ส.).
(2) ชีว– ๒, ชีวะ ๒ : (คำนาม) พระพฤหัสบดี. (ป., ส.).
(๒) “เคมี”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เคมี : (คำนาม) วิทยาศาสตร์กายภาพแขนงหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงเรื่องราวและสมบัติของสารต่าง ๆ ว่าประกอบกันขึ้นเป็นสารนั้น ๆ ได้อย่างไร และเมื่อสารนั้น ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นสารอื่นได้ปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ เป็นอย่างไร ทั้งกล่าวถึงการที่จะสังเคราะห์สารนั้น ๆ ขึ้นได้อย่างไรด้วย แบ่งออกเป็นสาขาต่าง ๆ อีกหลายสาขา เช่น เคมีอินทรีย์ เคมีอนินทรีย์ ชีวเคมี เคมีกายภาพ เคมีวิเคราะห์. (อ. chemistry).”
พจนานุกรมฯ บอกว่า คำว่า “เคมี” บัญญัติเทียบคำอังกฤษว่า chemistry เห็นได้ชัดว่า ที่สะกดเป็น เค-มี ก็ถอดเสียงออกมาจาก chemi- นั่นเอง จะพูดว่า คำว่า “เคมี” ทับศัพท์มาจาก chemi- ก็ได้
พจนานุกรม สอ เสถบุตร แปล chemistry ว่า วิชาเคมี
พจนานุกรมอังกฤษ-บาลี แปล chemistry เป็นบาลีว่า:
rasāyanavijjā รสายนวิชฺชา (ระ-สา-ยะ-นะ-วิด-ชา) = วิชาประสมแร่แปรธาตุ
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มีคำว่า “รสายน” (ระ-สา-ยะ-นะ) บอกความหมายไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“รสายน : (คำนาม) รสวิทยา, วิชาหรือการแปรธาตุเบื้องต้น; การใช้ปรอทแซกยา; ยาอายุวรรธนะ, ยากันความชราและบำรุงอายุให้ยืนนาน; ยาพิษ; โครสหรือนมส้ม; ครุฑ; รสายนวิท, รสัชญ์, ผู้เล่นแร่แปรธาตุหรือหวังสำเร็จปรอท; alchemy; the infant stage of chemistry; employment of mercury in medicine; elixir vita, a medicine preventing old age and prolonging life; poison; butter-milk; Garuda; an alchemist.”
ในภาษาไทย มีคำว่า “รสายนเวท” (ระ-สา-ยะ-นะ-เวด) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“รสายนเวท : (คำนาม) วิชาประสมแร่แปรธาตุ, วิชาเคมียุคเล่นแร่แปรธาตุ. (ส.).”
สรุปว่า คำอังกฤษว่า chemistry ทับศัพท์ว่า “เคมี” คำบาลีใช้ว่า “รสายนวิชฺชา” (ระ-สา-ยะ-นะ-วิด-ชา) สันสกฤตใช้ว่า “รสายน” (ระ-สา-ยะ-นะ) ภาษาไทยมีคำว่า “รสายนเวท” (ระ-สา-ยะ-นะ-เวด)
ชีว + เคมี = ชีวเคมี (ชี-วะ-เค-มี) เป็นคำสมาสข้ามสายพันธุ์ คือบาลีสันสกฤตสมาสกับคำอังกฤษทับศัพท์
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ชีวเคมี : (คำนาม) วิชาเคมีสาขาหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสิ่งที่มีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับองค์ประกอบเหล่านั้น ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ. (อ. biochemistry).”
ขยายความ :
บาลีวันละคำวันนี้เอาคำว่า “ชีวเคมี” มาเขียน เนื่องจากผู้เขียนบาลีวันละคำได้อ่านโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ท่านสะกดคำนี้เป็น “ชีวะเคมี” (มีสระ อะ กลางคำ) ผู้เขียนบาลีวันละคำเห็นแล้วก็เกิดอาการ “วิบ” ขึ้นมา
ผู้เขียนบาลีวันละคำคิดถ้อยคำสำหรับท่องจำเวลาเขียนคำประเภทนี้ว่า “เสียง อะ ไม่ต้องประวิสรรชนีย์กลางคำ”
หมายความว่า คำสมาสสนธิที่มีเสียง อะ อยู่กลางคำ เช่น ธุรกิจ สาธารณสุข ชีวประวัติ มรณภาพ ฯลฯ เสียง อะ ที่อยู่กลางคำ คือ ธุร- สาธารณ- ชีว- มรณ- ไม่ต้องใส่สระ อะ คือไม่ต้องเขียนเป็น ธุระกิจ สาธารณะสุข ชีวะประวัติ มรณะภาพ แบบนี้คือเขียนผิด
คำเหล่านี้ ถ้าอยู่โดด ๆ หรืออยู่ท้ายคำ และอ่านออกเสียง อะ เราก็ใส่สระ อะ เป็น ธุระ สาธารณะ ชีวะ มรณะ
แต่เมื่ออยู่กลางคำ คือมีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย ไม่ต้องใส่สระ อะ
คำที่ถูกต้องคือ ธุรกิจ สาธารณสุข ชีวประวัติ มรณภาพ ไม่ต้องประวิสรรชนีย์กลางคำ คือไม่ต้องใส่สระ อะ กลางคำ
“ชีวเคมี” ไม่ต้องใส่สระ อะ กลางคำ
“ชีวเคมี” ไม่ใช่ “ชีวะเคมี”
“ชีวเคมี” ถูก
“ชีวะเคมี” ผิด
สูตร “เสียง อะ ไม่ต้องประวิสรรชนีย์กลางคำ” ไม่มีอะไรซับซ้อน หลักง่าย ๆ ไม่ยากที่จะเขียนให้ถูกต้อง เพียงแค่ฝึกใช้สติ อย่าใช้ความเคยชิน
และกรุณาอย่างอ้างทฤษฎีวิปริตที่ว่า ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ เขียนแล้วคนอ่านเข้าใจว่าสื่อถึงอะไร ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่มีถูกไม่มีผิด
ถ้าถือตามทฤษฎีนี้ ก็สะกดคำได้ตามใจชอบ ภาษาก็วิปริตหมด พจนานุกรมทิ้งลงถังขยะไปเลย ไม่จำเป็นต้องมี
และถ้าทฤษฎีนี้ลามเข้าไปถึงภาษาบาลีได้เมื่อใด พูดได้คำเดียว-ขออนุญาตใช้คำไทย ๆ-ว่า พระพุทธศาสนาก็ฉิบหายเมื่อนั้น
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ภาษาเป็นสมบัติวัฒนธรรมประจำชาติ
: ใช้ภาษาผิดพลาดเป็นการทำลายชาติโดยไม่รู้ตัว
#บาลีวันละคำ (4,749)
13-6-68
…………………………….
…………………………….