ฆราวาสมุนี (บาลีวันละคำ 4,748)

ฆราวาสมุนี
แปลให้ดีก็น่าฟัง
อ่านตามสะดวกปากว่า คะ-รา-วาด-มุ-นี
ประกอบด้วยคำว่า ฆราวาส + มุนี
(๑) “ฆราวาส”
อ่านว่า คะ-รา-วาด ประกอบด้วย ฆร + อาวาส
(ก) “ฆร” บาลีอ่านว่า คะ-ระ รากศัพทมาจาก –
(1) ฆรฺ (ธาตุ = หลั่งไป, ไหลไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: ฆรฺ + อ = ฆร แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่หลั่งไหลแห่งฝนคือกิเลส” (คือเป็นสถานที่มนุษย์เสพสังวาสกัน)
ท่านขยายความว่า เดิมเมื่อมนุษย์ยังมีน้อย ก็เสพสังวาสกันตามสถานที่ทั่วไป ต่อมาเมื่อมนุษย์มีมากขึ้น สถานที่ทั่วไปที่จะรอดจากหูตาของเพื่อนมนุษย์หายากขึ้น ประกอบกับมีหิริโอตตัปปะ จึงเกิดความคิดสร้างที่มุงที่บังขึ้นมาเพื่อเป็นที่เสพสังวาสกัน สถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่า “ฆร” (“ที่เป็นที่หลั่งไหลแห่งฝนคือกิเลส”) กาลต่อมาจึงพัฒนาขึ้นเป็นที่อยู่อาศัย
(2) คหฺ (ธาตุ = จับ, รับ, ถือเอา) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง คห เป็น ฆร
: คหฺ + อ = คห > ฆร แปลตามศัพท์ว่า “สถานที่อันเขาถือครอง”
“ฆร” (นปุงสกลิงค์) หมายถึง เรือน, บ้าน (a house)
(ข) “อาวาส” บาลีอ่านว่า อา-วา-สะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง) + วสฺ (ธาตุ = อยู่) + ณ ปัจจัย
ณ ปัจจัย หรือปัจจัยที่เนื่องด้วย ณ (เช่น เณ ณฺย) มักไม่ปรากฏตัว ณ (ภาษาสูตรไวยากรณ์ว่า “ลบ ณ ทิ้งเสีย”) แต่มีอำนาจทีฆะต้นธาตุ คือธาตุที่มี 2 พยางค์ ถ้าพยางค์แรกเสียงสั้นก็ยืดเป็นเสียงยาว (อะ เป็น อา, อิ เป็น อี, อุ เป็น อู) ในที่นี้ วสฺ ธาตุ “ว” เสียงสั้น จึงยืดเป็น “วา”
: อา + วสฺ = อาวสฺ + ณ = อาวสณ > อาวส > อาวาส
“อาวาส” (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่มาอยู่” = มาถึงตรงนั้นแล้วก็อยู่ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า “อาวาส” ความหมายกว้างๆ คือ การพักแรม, การพักอยู่, การอาศัยอยู่, การอยู่; ที่อยู่, ที่พำนัก (sojourn, stay, dwelling, living; dwelling-place, residence)
ในภาษาไทย “อาวาส” มักเข้าใจกันในความหมายเฉพาะว่า “วัด”
แต่ในคำ ฆร + อาวาส นี้ “อาวาส” มีความหมายว่า การอยู่ (ไม่ใช่ “ที่อยู่”)
ฆร + อาวาส = ฆราวาส แปลตามศัพท์ว่า “การอยู่ในเรือน” หรือ “การอยู่ครอบครองซึ่งเรือน” เรียกสั้นๆ ว่า การครองเรือน, อยู่ครองเรือน หรือทับศัพท์ว่า ฆราวาส (the household life)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ฆราวาส : (คำนาม) คนผู้อยู่ครองเรือน, คนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ใช่บรรพชิตหรือนักบวช. (ป.).”
(๒) “มุนี”
บาลีเป็น “มุนิ” (-นิ สระ อิ) อ่านว่า มุ-นิ รากศัพท์มาจาก –
(1) มุนฺ (ธาตุ = รู้; ผูก) + อิ ปัจจัย
: มุนฺ + อิ = มุนิ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้รู้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น” (2) “ผู้รู้ประโยชน์ทั้งสอง” (3) “ผู้ผูกจิตของตนไว้มิให้ตกไปสู่อำนาจของราคะโทสะเป็นต้น”
(2) โมน (ความรู้) + อี ปัจจัย, รัสสะ อี เป็น อิ, แผลง โอ ที่ โม-(น) เป็น อุ (โมน > มุน)
: โมน > มุน + อี = มุนี > มุนิ แปลตามศัพท์ว่า “ผู้มีความรู้หรือมีโมเนยยธรรม”
“มุนิ” (ปุงลิงค์) หมายถึง ผู้บำเพ็ญพรต, ผู้ศักดิ์สิทธิ์, นักปราชญ์, คนฉลาด (a holy man, a sage, wise man)
ในภาษาไทยใช้เป็น “มุนิ” และ “มุนี” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“มุนิ, มุนี : (คำนาม) นักปราชญ์, ฤษี, พระสงฆ์. (ป., ส.).”
ฆราวาส + มุนี = ฆราวาสมุนี แปลโดยประสงค์ว่า –
(1) “ฆราวาสที่มีความประพฤติเหมือนพระ”
(2) “ผู้ปฏิบัติเหมือนพระ แต่ยังเป็นฆราวาสอยู่”
ขยายความ :
มนุษย์เกิดมาจากผู้ครองเรือน จึงมีฐานะเป็น “ฆราวาส” ตั้งแต่เกิด ภายหลังจึงมีบางคนออกจากเรือนไปถือเพศเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน ที่เรียกว่า “มุนี” หรือ “อนาคาริก” หรือภาษาไทยเรียกรู้กันทั่วไปว่า “พระ”
นักบวชในพระพุทธศาสนานั้น เหตุผลที่ออกบวชอันเป็นอุดมการณ์ ( = สาเหตุอันสูงสุด) ก็คือ เห็นตระหนักว่า –
“สมฺพาโธ ฆราวาโส รชาปโถ อพฺโภกาโส ปพฺพชฺชา
ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง”
ปัจจุบันมีความเห็นในทางตรงกันข้าม คือเห็นว่าบรรพชานั้นคับแคบ ทำอะไรก็ไม่สะดวก เพราะติดขัดข้อห้ามนั่นนี่โน่น ฆราวาสต่างหากที่ปลอดโปร่ง ทำอะไรก็คล่องตัว
อาจเป็นเพราะมีความเห็นเช่นนี้ จึงมีฆราวาสบางคนที่มีความประพฤติละเอียดอ่อน เช่นไม่ข้องแวะกับอบายมุขทุกรูปแบบ ไม่เสพสุขอย่างที่ชาวบ้านทั่วไปนิยมเสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีคู่ครอง ประพฤติตัวดังที่มักเรียกกันว่า “สมถะ” คือมีความประพฤติใกล้ไปทางจะเป็นพระ แต่ก็ไม่ประสงค์จะบวช เพราะเห็นว่าวิถีชีวิตพระต้องเข้มงวดด้วยพระธรรมวินัย แต่บุคคลประเภทนี้ยังต้องการความคล่องตัวในบางเรื่องบางกรณี ซึ่งถ้าบวชจะทำเช่นนั้นไม่ได้
ชาวบ้านที่มีความประพฤติใกล้จะเป็นพระดังกล่าวนี้ จึงมีผู้คิดคำขึ้นเรียกว่า “ฆราวาสมุนี”
อันที่จริง คำว่า “ฆราวาสมุนี” นี้ เป็นคำที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง กล่าวคือ –
“ฆราวาส” คือชาวบ้าน
“มุนี” คือพระ
ชาวบ้าน (ฆราวาส) จะเป็นพระ (มุนี) ไม่ได้
มุนี (พระ) จะเป็นฆราวาส (ชาวบ้าน) ไม่ได้
แต่ผู้คิดคำนี้ไม่ได้มีเจตนาจะให้มีความหมายขัดแย้งกันเช่นนี้ เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้วิธี “แปลช่วย” นั่นคือ “ฆราวาสมุนี” แปลว่า “ฆราวาสที่มีความประพฤติเหมือนพระ” หรือ “ผู้ปฏิบัติเหมือนพระ แต่ยังเป็นฆราวาสอยู่” แปลอย่างนี้ก็ไม่ขัดกัน
หมายเหตุ :
เท่าที่ทราบ คำว่า “ฆราวาสมุนี” นี้ มีผู้ใช้เรียกท่านอาจารย์เสถียร โพธินันทะ (มิถุนายน พ.ศ. 2472 – ธันวาคม พ.ศ. 2509) ผู้มีความรู้แตกฉานในทางพระพุทธศาสนา มีปฏิปทาหลายอย่างคล้ายพระ แต่ท่านเป็นฆราวาส
ผู้ประสงค์จะศึกษาประวัติชีวิตท่าน “ฆราวาสมุนี” ผู้นี้ โปรดสืบหาประวัติกันตามอัธยาศัยเทอญ
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ชาวบ้านประพฤติเหมือนพระ ดี
: พระประพฤติเหมือนชาวบ้าน ไม่ดี
#บาลีวันละคำ (4,748)
12-6-68
…………………………….
…………………………….