บาลีวันละคำ

อาขยาต (บาลีวันละคำ 4,754)

อาขยาต

เรียนบาลี ไม่รู้คำนี้ไม่ได้

อ่านว่า อา-ขะ-หฺยาด

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – 

อาขยาต : (คำวิเศษณ์) กล่าวแล้ว. (คำนาม) ชื่อคำกริยาประเภทหนึ่งในไวยากรณ์บาลีและสันสกฤต ประกอบด้วย ธาตุ วิภัตติ กาล บท พจน์ บุรุษ วาจก ปัจจัย เพื่อเป็นเครื่องหมายบอกเนื้อความให้ชัดเจน เช่น กโรติ = ย่อมกระทำ ประกอบด้วย กรฺธาตุ ติวิภัตติ ปัจจุบันกาล ปรัสสบท เอกพจน์ ปฐมบุรุษ กัตตุวาจก โอปัจจัย. (ป., ส.).”

…………..

กโรติ” ที่พจนานุกรมฯ ยกเป็นตัวอย่างนั้น อ่านว่า กะ-โร-ติ เป็นรูปคำกริยาอาขยาต ปัจจุบันกาล เอกวจนะ ปฐมบุรุษ (ประธานเป็นผู้ที่ถูกพูดถึง) กัตตุวาจก รากศัพท์มาจาก กรฺ (ธาตุ = กระทำ) + โอ ปัจจัยประจำหมวดธาตุ + ติ วัตตมานาวิภัตติอาขยาต

: กรฺ + โอ + ติ = กโรติ แปลว่า “(เขา) ย่อมกระทำ” 

กโรติ” คือ อาขยาต หรือเรียกเต็ม ๆ ว่า กริยาอาขยาต (กิริยาอาขยาต)

ขยายความ :

อาขยาต” เขียนแบบบาลีเป็น “อาขฺยาต” (มีจุดใต้ ขฺ) อ่านว่า อา-เขีย-ตะ รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, ยิ่ง) + ขฺยา (ธาตุ = เรียก, กล่าว) + ปัจจัย

: อา + ขฺยา = อาขฺยา + = อาขฺยาต แปลตามศัพท์ว่า “-อันเขากล่าวแล้ว” หมายถึง สิ่งที่ถูกกล่าวถึง พูดถึง (spoken, said, uttered) 

อาขฺยาต” เขียนแบบบาลี (มีจุดใต้ ขฺ) อ่านว่า อา-เขีย-ตะ

อาขยาต” เขียนแบบไทย (ไม่มีจุดใต้ ขฺ) อ่านว่า อา-ขะ-หฺยาด

บาลีไวยากรณ์ วจีวิภาค ภาคที่ 2 อาขยาตและกิตก์ พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส บอกความหมายของ “อาขยาต” ไว้ดังนี้ –

…………..

ศัพท์กล่าวกิริยา คือ ความทำ, เป็นต้นว่า ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด, ชื่อว่า อาขยาต. ในอาขยาตนั้นท่านประกอบ วิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก ปัจจัย, เพื่อเป็นเครื่องหมายเนื้อความให้ชัดเจน.

…………..

ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นคำแสดง “กิริยา” ในภาษาไทย ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีและเป็นกริยาอาขยาต (กิริยาอาขยาต) เฉพาะที่เป็น “ติวิภัตติ ปัจจุบันกาล ปรัสสบท เอกพจน์ ปฐมบุรุษ กัตตุวาจก” ตามที่พจนานุกรมฯ ยกตัวอย่างคำว่า “กโรติ” รูปคำกริยาอาขยาตในภาษาบาลีจะเป็นดังนี้ –

ยืน = ติฏฺฐติ

เดิน = คจฺฉติ, จงฺกมติ

นั่ง = นิสีทติ

นอน = สยติ

กิน = ภุญฺชติ

ดื่ม = ปิวติ

ทำ = กโรติ

พูด = ภาสติ

คิด = จินฺเตติ

แต่ถ้าเปลี่ยน “วิภัตติ กาล บท พจน์ บุรุษ วาจก” เป็นอย่างอื่น คำกริยาเหล่านี้ก็จะต้องเปลี่ยนรูปเป็นอย่างอื่นไปด้วย เปลี่ยนเป็นอย่างไร ด้วยหลักการอะไร นี่แหละคือกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนของ “อาขยาต” นักเรียนบาลีต้องแม่นในกฎเกณฑ์เหล่านั้น ถ้าใช้กฎเกณฑ์ผิดพลาด รูปคำก็จะผิดพลาด ความหมายของถ้อยคำในประโยคนั้น ๆ ก็จะคลาดเคลื่อนไปด้วย

ที่ท่านกล่าวว่า บาลีเป็นภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ ก็เนื่องมาจากมีกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนแต่รัดกุม ถ้าถ้อยคำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ความหมายของพระพุทธพจน์ก็จะไม่คลาดเคลื่อน 

ผู้ที่จะเข้าใจพระพุทธพจน์ได้ถูกต้องตรงตามที่ตรัสไว้ จึงต้องรู้ภาษาบาลี จะรู้ภาษาบาลีก็ต้องเรียนกฎเกณฑ์ของภาษาบาลีที่เรียกว่า “บาลีไวยากรณ์”

สรุปว่า จะเขาใจพระพุทธพจน์ ต้องเข้าใจภาษาบาลี เพราะพระพุทธพจน์บันทึกไว้เป็นภาษาบาลี

ถ้าแปลพระพุทธพจน์จากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย (หรือภาษาอื่นใดก็ตาม) ก็ต้องแปลให้ตรงกับความหมายในภาษาบาลี

ถ้าเรียนพระพุทธพจน์จากถ้อยคำที่แปลมาจากภาษาบาลี ก็จะมีความยากลำบากถึง 2 ชั้น คือ –

ชั้นที่ 1 ต้องเข้าใจภาษาที่แปลมาเป็นอย่างดี 

ชั้นที่ 2 ต้องตรวจสอบได้ว่าภาษาที่แปลมานั้นแปลถูกต้องตรงกับความหมายในภาษาบาลี

เนื่องจากพระพุทธพจน์บันทึกไว้เป็นภาษาบาลี การเรียนพระพุทธพจน์ที่ปลอดภัยที่สุดคือเรียนจากภาษาบาลีโดยตรง

และนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงมีการเรียนภาษาบาลี

เรียนภาษาบาลี แต่ไม่เอาความรู้บาลีไปเรียนพระพุทธพจน์ จึงเป็นการเรียนภาษาบาลีที่แปลกประหลาดที่สุด

…………..

ดูก่อนภราดา!

: เรียนธรรม ไม่เอาธรรมมาปฏิบัติ กิเลสก็ไม่หมด

: รู้สรรพคุณโอสถ ไม่เอามารักษา โรคาก็ไม่หาย

#บาลีวันละคำ (4,754)

18-6-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *