บาลีวันละคำ

นาคาปโลก (บาลีวันละคำ 4,755)

นาคาปโลก

ไม่คุ้นคำ ก็จำไว้เพื่อให้เข้าใจเรื่องจริง

อ่านว่า นา-คา-ปะ-โลก

แยกศัพท์เป็น นาค + อปโลก

(๑) “นาค” 

บาลีอ่านว่า นา-คะ ใช้ในภาษาไทยคำเดียว อ่านว่า นาก ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า นา-คะ- หรือ นาก-คะ- 

คำว่า “นาค” ในบาลีมีความหมายหลายอย่าง ดังนี้:

(1) รากศัพท์มาจาก (คำนิบาต =ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + คมฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ, ลบที่สุดธาตุ (คมฺ > ), ทีฆะ อะ ที่ เป็น อา 

: + คมฺ = นคมฺ + กฺวิ = นคมกฺวิ > นคม > นค > นาค แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่ไม่ได้ไปด้วยเท้า” หมายถึง งูใหญ่มีหงอน ที่เรามักเรียกกันว่า “พญานาค” (a serpent, a serpentlike water-god) ภาษาบาลีว่า นาคราชา (นา-คะ-รา-ชา) เป็นความหมายที่เราคุ้นกันมากที่สุด

หมายเหตุ : ความหมายนี้ผู้เขียนบาลีวันละคำสันนิษฐานเอง เนื่องจากยังไม่พบตำราที่ตั้งวิเคราะห์ศัพท์โดยตรง นักเรียนบาลีท่านใดทราบบทตั้งวิเคราะห์ความหมายนี้ ขอได้โปรดช่วยแก้ไขให้ด้วย

(2) รากศัพท์มาจาก นค (ภูเขา) + ปัจจัย, ลบ , ทีฆะ อะ ที่ -(ค) เป็น อา (นค > นาค)

: นค + = นคณ > นค > นาค แปลตามศัพท์ว่า “สัตว์ที่มองเห็นเป็นเหมือนภูเขา” = ช้าง (an elephant) หมายถึงช้างที่ฝึกหัดเป็นอย่างดีแล้ว เช่นช้างศึก 

(3) รากศัพท์มาจาก (คำนิบาต =ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + คมฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ กฺวิ, ลบที่สุดธาตุ (คมฺ > ), ทีฆะ อะ ที่ เป็น อา 

: + คมฺ = นคมฺ + กฺวิ = นคมกฺวิ > นคม > นค > นาค แปลตามศัพท์ว่า “ต้นไม้ที่ไปไหนไม่ได้” = ไม้กากะทิง (ใบและผลคล้ายสารภี แต่ใบขึ้นสันมากและผลกลมกว่า เปลือกเมล็ดแข็ง ใช้ทําลูกฉลากหรือกระบวยของเล่น, สารภีทะเล หรือ กระทึง ก็เรียก) (The Nāga-tree, iron-wood tree, fairy tree) 

(4) รากศัพท์มาจาก (คำนิบาต =ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + อคฺค (ผู้เลิศ), ทีฆะ อะ ที่ -(คฺค) เป็น อา (อคฺค > อาคฺค), ลบ ออกตัวหนึ่ง

: + อคฺค = นคฺค > นาคฺค > นาค แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่มีผู้ที่เลิศกว่า” = ผู้เลิศ, พระอรหันต์ (the Buddha, Arahants; hero or saint) 

(5) รากศัพท์มาจาก –

(ก) (คำนิบาต =ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + อาคุ (บาป) + (อะ) ปัจจัย, ลบสระหน้า คือ อุ ที่ (อา)-คุ (อาคุ > อาค

: + อาคุ = นาคุ > นาค + = นาค แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่ทำบาปกรรม

(ข) (คำนิบาต =ไม่, ไม่ใช่, ไม่มี) + อฆ (บาป), ทีฆะ อะ ที่ -(ฆ) เป็น อา (อฆ > อาฆ), แปลง เป็น  

: + อฆ = นฆ > นาฆ > นาค แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่มีบาป

นาค” ตามรากศัพท์ในข้อ (5) นี้ = ผู้มุ่งจะบวช (one who is faultless; an applicant [or candidate] for ordination; ordinand) 

การเรียกคนที่ไปอยู่วัดเตรียมตัวจะบวชหรือกําลังจะบวชว่า “นาค” มีมูลเหตุมาจากในเวลาทำพิธีบวช จะต้องระบุชื่อผู้บวชเป็นภาษาบาลี (ที่เรียกว่า “ฉายา”) ในยุคแรก ๆ มักสมมุติชื่อผู้บวชว่า “นาโค” คือ “นาค” ทุกคน เพราะเป็นชื่อพื้น ๆ เทียบกับชื่อไทยสมัยเก่าก็เหมือนชื่อนายดำ นายแดง (ปัจจุบันตั้งฉายาต่างกันออกไปเหมือนตั้งชื่อ)

คำว่า “นาโค = นาค” จึงเรียกกันติดปาก ใครจะบวชก็เรียกกันว่า “นาค” มาจนทุกวันนี้

บาลี “นาค” สันสกฤตก็เป็น “นาค

ขอยกคำว่า “นาค” จากสํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน มาเสนอไว้ในที่นี้เพื่อประดับปัญญา ดังนี้ –

(สะกดตามต้นฉบับ)

นาค : (คำนาม) นาคหรืออมรเทพ, อันมีพักตร์เปนมนุษย์, มีพาลหัสต์หรือหางเปนงู, และมีกรรฐ์หรือคอเปนโคลุเพร นาค; นรเทพ จำพวกนี้ท่านว่าเกิดจาก กทรุ, ผู้วธูของกาศยป, เพื่อชไนบูรเมืองบาดาลหรือแดนนาคใต้ชนโลก; งูทั่วไป; ผณิน, งูอันเลิกหรือแผ่พังพาน; หัสดิน; กรูรบุรุษ, บุรุษผู้โหดร้ายหรือทารุณ; พลาหก; หมุด-ขอ-หรือที่แขวนของที่ฝาผนัง; ลมหาวเรอ; หมาก; ดีบุก; ตะกั่ว; ตะกั่วสีแดง; นักษัตรกาลอันหนึ่งซึ่งเรียกว่า ‘กรณาสก์;’ a Nāga or demigod so called, having a human face, with the tail of a serpent, and the expanded neck of the Coluber Nāga; the race of these demigods is said to have sprung from Kadru, the wife of Kaśyapa, in order to people Pātāla or the regions below the earth; a serpent in general; a hooded snake, a cobra da capello; an elephant; a cruel person, a tyrannical person, a cloud; a pin or nail projecting from the wall to hank anything upon; one of the airs of the body, that which is expelled by belching; betel or pān; tin; lead, red lead; one of the astronomical periods called Karaṇās; – (คำวิเศษณ์) วิศิษฏ์, บรม; pre-eminent.”

ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำว่า “นาค” ไว้ 5 คำ บอกไว้ดังนี้ – 

(1) นาค ๑, นาค– : (คำนาม) งูใหญ่มีหงอน เป็นสัตว์ในนิยาย. (ป., ส.).

(2) นาค ๒, นาคา ๑ : (คำนาม) ชื่อชนเผ่าหนึ่งอยู่ในบริเวณเทือกเขานาค ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศพม่า มีหลายสาขา เช่น อาโอนาค กูกินาค.

(3) นาค ๓, นาค– : (คำแบบ) (คำนาม) ช้าง. (ป.).

(4) นาค ๔ : (คำแบบ) (คำนาม) ไม้กากะทิง. (ป.).

(5) นาค ๕ : (คำแบบ) (คำนาม) ผู้ประเสริฐ, ผู้ไม่ทําบาป; เรียกคนที่ไปอยู่วัดเตรียมตัวจะบวชหรือกําลังจะบวช. (ป., ส.).

ในหมู่คนไทย ถ้าพูดว่า “นาค” จะเข้าใจกันว่า “งูใหญ่มีหงอน” หรือที่มักเรียกกันว่า “พญานาค” คือ นาค (1) มากที่สุด 

รองลงมาคือ “คนเตรียมตัวจะบวชหรือกําลังจะบวช” คือ นาค (5) 

นาค” ที่มีความหมายอื่นจากนี้ คนทั่วไปจะนึกไม่เห็น

ในที่นี้ “นาค” หมายถึง ช้าง ตามรากศัพท์ข้อ (2) ข้างต้น และ “นาค ๓” ตามพจนานุกรมฯ

(๒) “อปโลก” 

บาลีอ่านว่า อะ-ปะ-โล-กะ รากศัพท์มาจาก อป (คำอุปสรรค = ปราศจาก, หลีกออก) + โลกฺ (ธาตุ = เห็น, ดู, แลดู) + (อะ) ปัจจัย 

: อป + โลกฺ = อปโลกฺ + = อปโลก (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “การมองออกไป” หมายถึง การขออนุญาต, การบอกลา; คำปรึกษาหารือ (permission, leave; consultation)

อปโลก” ออกจากคำกริยาว่า “อปโลเกติ” (อะ-ปะ-โล-เก-ติ)

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “อปโลเกติ” ไว้ดังนี้ –

(1) to look ahead, to look before, to be cautious, to look after (แลดู, มองดูข้างหน้า, ระมัดระวัง, ดูแล) 

(2) to look up to, to obtain permission from; to get leave, to give notice of (บอกลา, ได้รับอนุญาต; ได้รับอนุมัติ, ประกาศให้ทราบ)

นาค + อปโลก = นาคาปโลก แปลว่า “การบอกลาด้วยการมองอย่างช้าง” คือหมุนตัวหรือหันหลังกลับไปมอง

นาคาปโลก” 

อ่านแบบบาลีว่า นา-คา-ปะ-โล-กะ

อ่านแบบไทยว่า นา-คา-ปะ-โลก

ขยายความ :

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินีบรรยายเหตุการณ์ตอน “นาคาปโลก” ไว้ดังนี้ –

…………..

ภควโต  ปน  นครทฺวาเร  ฐตฺวา  เวสาลึ  อปโลเกสฺสามีติ  จิตฺเต  อุปฺปนฺนมตฺเต 

แต่พอพระผู้มีพระภาคประทับยืนที่ประตูพระนคร ก็ทรงเกิดความคิดว่า จะทอดทัศนาลากรุงเวสาลี 

ภควา  อเนกานิ  กปฺปโกฏิสตสหสฺสานิ  ปารมิโย  ปูเรนฺเตหิ  ตุเมฺหหิ  น  คีวํ  ปริวตฺเตตฺวา  อปโลกนกมฺมํ  กตนฺติ  อยํ  มหาปฐวี

แผ่นมหาปฐพีนี้เหมือนจะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาหลายแสนโกฏิกัป อย่าต้องทรงกระทำกิจคือเอี้ยวพระศอแลดูเลย ดังนี้

กุลาลจกฺกํ  วิย  ปริวตฺเตตฺวา  ภควนฺตํ  เวสาลีนคราภิมุขํ  อกาสิ  ฯ

แล้วก็หมุนกลับดังว่าแป้นของช่างหม้อ กระทำพระผู้มีพระภาคให้บ่ายพระพักตร์ไปทางกรุงเวสาลี

ที่มา: สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 274-275 (มหาปรินิพฺพานสุตฺตวณฺณนา)

…………..

“แป้นของช่างหม้อ” แปลจากคำว่า “กุลาลจกฺก” พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “กุลาลจกฺก” ว่า a potter’s wheel

ช่างหม้อเอาดินที่จะปั้นเป็นภาชนะต่าง ๆ วางบนแป้น

แป้นนี้หมุนได้รอบตัว เวลาลงมือปั้น ช่างหม้อจะถีบแป้นให้หมุนเร็วจี๋ ก้อนดินก็จะหมุนอยู่บนแป้น ช่างหม้อเอามือกดรูดขึ้นรูปภาชนะได้ตามต้องการ

สมมุติว่าเสร็จเป็นโอ่งใบหนึ่งอยู่บนแป้น จะหมุนแป้นให้ด้านไหนของโอ่งหันไปทางไหนเพื่อตกแต่งด้านนั้น ๆ ก็ได้ตามปรารถนา 

เปลี่ยนจากโอ่งเป็นพระผู้มีพระภาค 

พระผู้มีพระภาคประทับยืนอยู่บนแป้น ตอนเสด็จออกจากเมืองเวสาลี บ่ายพระพักตร์ออก พ้นประตูเมืองออกไปแล้ว มีพุทธประสงค์จะหันกลับมาทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย ประทับยืนอยู่ในทิศทางเดิม แป้นก็หมุนให้องค์พระผู้มีพระภาคทั้งพระองค์หันกลับผินพระพักตร์ไปทางเมืองเวสาลี ได้ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีดังพระพุทธประสงค์โดยไม่ต้องหันพระองค์กลับด้วยพระองค์เอง

ดูภาพจริง

พระพุทธองค์ประทับยืนบนแผ่นดินผินพระพักตร์ออกจากเมืองเวสาลี 

มีพุทธประสงค์จะทอดพระเนตรเมืองเวสาลีเป็นครั้งสุดท้าย 

พื้นดินตรงที่ประทับยืน-สมมุติว่าประมาณวาหนึ่งโดยรอบ-ค่อย ๆ หมุนเป็นวงกลม

พระพุทธองค์ประทับยืนอยู่ในทิศทางเดิม

พื้นดินตรงที่ประทับยืนหมุนเป็นวงกลมให้องค์พระมีพระภาคทั้งพระองค์หันกลับผินพระพักตร์ไปทางเมืองเวสาลี ได้ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีดังพระพุทธประสงค์

…………..

อรรถกถาบรรยายว่า เมืองที่เสด็จในห้วงเวลาใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรเป็นปัจฉิมทัศนาการทุกเมือง แต่เมืองเหล่านั้นทรงหันพระองค์กลับด้วยพระองค์เองจึงไม่เป็นอัศจรรย์ ไม่ได้บันทึกเป็นเหตุพิเศษไว้ในคัมภีร์

แต่เฉพาะเมืองเวสาลีทรงมีพุทธประสงค์จะให้มีเหตุการณ์พิเศษเป็นเหตุอัศจรรย์ให้ชาวเมืองสร้างอนุสรณ์สถานเป็นที่กราบไหว้สักการบูชา จึงทรงบันดาลให้แผ่นปฐพีหมุนให้องค์พระผู้มีพระภาคหันกลับทั้งพระองค์โดยไม่ต้องหันด้วยพระองค์เองเหมือนเมืองอื่น ๆ 

พุทธบริษัทที่เฝ้าอยู่ในที่นั้นต่างก็ได้เห็นเหตุอัศจรรย์นี้เป็นที่ประจักษ์ตาทั่วกัน หลังจากนั้นก็ได้สร้างพระสถูปเป็นอนุสรณ์สถานเครื่องระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อกราบไหว้สักการบูชา

เหตุที่มีพุทธประสงค์เช่นนี้ อรรถกถาบรรยายว่า เนื่องจากทรงเล็งเห็นว่าเมืองเวสาลีจะประสบภัยสงครามจากการรุกรานของแคว้นมคธ สิ่งบอกเหตุปรากฏชัดตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์ในมหาปรินิพพานสูตร (นาคาปโลกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมหาปรินิพพานสูตร) – ที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงส่งวัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธองค์ขณะประทับที่เขาคิชฌกูฏ เพื่อทูลถามว่ามคธจะยกทัพไปตีวัชชี พระพุทธองค์จะทรงเห็นเป็นประการใด

พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสตอบโดยตรง แต่ตรัสกับพระอานนท์ว่า ถ้าชาววัชชียังสามัคคีกันอยู่ ใครก็ตีไม่แตก

วัสสการพราหมณ์ได้ฟังก็วางแผนเป็นไส้ศึกไปแฝงตัวยุแหย่ผู้บริหารเมืองเวสาลีให้แตกสามัคคี 

แผนนี้ใช้เวลา 3 ปี นั่นคือ หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว 3 ปี ผู้บริหารเมืองเวสาลีก็แตกสามัคคีกันตามแผนยุแหย่ของวัสสการพราหมณ์ มคธก็ยกไปเหยียบวัชชี เมืองเวสาลีก็แหลกราบ

…………..

พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า จากวันที่พระองค์ทอดปัจฉิมทัศนาลาเมืองเวสาลีไปอีกไม่เกิน 3 ปี มคธต้องยกไปตีวัชชีแน่ และเมืองเวสาลีต้องพินาศแน่ 

แต่ถ้าชาวเมืองเวสาลีไม่ประมาท หมั่นบำเพ็ญบุญกุศลให้จงมาก ภายใน 3 ปีก็จะสามารถทำที่พึ่งแห่งตนในปรโลกได้ และพระสถูปอนุสรณ์สถานที่ชาวเมืองสร้างขึ้นจากเหตุอัศจรรย์ครั้งนี้จะเป็นปัจจัยชักจูงประชาชนให้ได้บำเพ็ญบุญกุศล “เอาตัวรอดจากภัยสงคราม” ได้มากขึ้น

ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังเหตุการณ์ “นาคาปโลก

คนไทยเข้าใจผิดว่า “นาคาปโลก” คือเอี้ยวตัวหรือเอี้ยวคอหันหน้าไปมอง

แต่ความหมายจริง ๆ ของ “นาคาปโลก” คือหมุนตัวหรือหันหลังกลับไปมอง

อนึ่ง คำว่า “นาคาปโลก” ท่านใช้ศัพท์อีกคำหนึ่ง รูปคำคล้ายกัน คือ “นาคาวโลก” 

นาคาวโลก” 

อ่านแบบบาลีว่า นา-คา-วะ-โล-กะ

อ่านแบบไทยว่า นา-คา-วะ-โลก

นาคาปโลก = นาคาวโลก” เราคุ้นกับคำว่า “นาคาวโลก” แต่ไม่คุ้นกับคำว่า “นาคาปโลก

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า – 

…………..

นาคาวโลก : (คำนาม) ชื่อพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายห้อยเยื้องมาข้างหน้าประทับไว้ที่พระเพลาข้างซ้าย พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระองค์ตามปรกติ เอี้ยวพระกายผินพระพักตร์ไปทางซ้าย (เป็นกิริยาทอดพระเนตรพระนครไพศาลีอย่างไว้อาลัย ด้วยจะเป็นการเห็นครั้งสุดท้าย).

…………..

คำอธิบายของพจนานุกรมฯ นี้ คลาดเคลื่อนจากคำอธิบายของอรรถกถา 

คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ภาค 2 หน้า 274 ซึ่งอธิบายมหาปรินิพพานสูตร บรรยายอาการที่เรียกว่า “นาคาปโลก” ไว้ว่า –

…………..

พุทฺธานํ  ปน  สุวณฺณกฺขนฺธํ วิย  เอกาพทฺธานิ  หุตฺวา  ฐิตานิ.

พระอัฐิ (คือกระดูก) ของพระพุทธเจ้าติดเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนแท่งทองคำ

ตสฺมา  ปจฺฉโต  อปโลกนกาเล  น  สกฺกา  โหติ  คีวํ  ปริวตฺเตตุํ.

เพราะฉะนั้น ในเวลาเหลียวหลัง จึงไม่สามารถเอี้ยวพระศอได้

ยถา  ปน  หตฺถินาโค  ปจฺฉาภาคํ  อปโลเกตุกาโม  สกลสรีเรเนว  ปริวตฺตติ.

อันว่าพญาช้างประสงค์จะเหลียวดูข้างหลัง ต้องหันกลับไปทั้งตัวฉันใด

เอวํ  ปริวตฺเตตพฺพํ  โหติ. 

พระผู้มีพระภาคก็ต้องทรงหันพระวรกายไปทั้งพระองค์ฉันนั้น

…………..

คนธรรมดาเวลาจะดูอะไรที่อยู่ด้านหลัง ยืนอยู่กับที่ ลำตัวท่อนล่างอยู่ในทิศทางเดิม ลำตัวท่อนบนอาจเอี้ยวไปด้านข้างเล็กน้อย เอี้ยวคอหันไปด้านข้างให้สุดก็สามารถมองเห็นด้านหลังได้ 

แต่พระพุทธองค์ทรงทำเช่นนั้นไม่ได้ เหตุผลตามคำของอรรถกถาก็คือ “พระอัฐิของพระพุทธเจ้าติดเป็นเนื้อเดียวกันเหมือนแท่งทองคำ” 

คือถ้าจะหันไปทอดพระเนตรด้านหลัง ต้องหันหมดทั้งพระองค์ แบบเดียวกับช้าง 

ช้างมันหันเฉพาะคอกลับมาดูข้างหลังไม่ได้ ต้องหันหมดทั้งตัวฉันใด พระพุทธองค์จะทอดพระเนตรด้านหลัง ก็ต้องหันกลับมาทั้งพระองค์ฉันนั้น

พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “นาคาปโลก” ว่า “elephant-look” (turning the whole body), a mark of the Buddhas (“มองอย่างช้าง” [หันกลับทั้งตัว], เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า) 

คือไม่ใช่เอี้ยวพระกายมองเหมือนภาพที่จิตรกรเขียน หรือเอี้ยวพระกายผินพระพักตร์ไปทางซ้ายเหมือนที่พจนานุกรมฯ บอก หรือพระพุทธรูปปางนาคาวโลกที่ประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางซ้ายดังที่สร้างกันทั่วไป

พูดชัด ๆ “นาคาปโลก” ไม่ใช่เอี้ยวคอ หรือเอี้ยวตัว หรือหันหน้าไปมอง

แต่หันทั้งตัวไปมอง-แบบกลับหลังหัน

และนี่เองคือเหตุผลที่เรียกว่า “นาคาปโลก” ซึ่งแปลว่า “การบอกลาด้วยการมองอย่างช้าง” 

…………..

ดูก่อนภราดา!

: แม้จะทุกข์เข็ญเต็มขนาด

: ก็อย่าลาขาดจากบุญ

เพราะ –

: สังสารวัฏคือการเดินทาง

: บุญที่สร้างคือเสบียง

#บาลีวันละคำ (4,755)

19-6-68

…………………………….

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *