บพิตรพิมุข (บาลีวันละคำ 4,759)

บพิตรพิมุข
มีความหมายว่าอย่างไร
อ่านว่า บอ-พิด-พิ-มุก
ประกอบด้วยคำว่า บพิตร + พิมุข
(๑) “บพิตร”
มาจากสันสกฤตว่า “ปวิตฺร” บาลีเป็น “ปวิตฺต” (ปะ-วิด-ตะ) รากศัพท์มาจาก ปุ (ธาตุ = สะอาด) แผลง อุ ที่ ปุ เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (ปุ > โป > ปว) + ต ปัจจัย, ลง อิ อาคมหน้าปัจจัย, ซ้อน ต
: ปุ > โป > ปว + อิ = ปวิ + ตฺ + ต = ปวิตฺต แปลตามศัพท์ว่า “ผู้สะอาด” คือ ผู้หมดจด, ผู้บริสุทธิ์
บาลี “ปวิตฺต” สันสกฤตเป็น “ปวิตฺร”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปวิตฺร : (คุณศัพท์) บริสุทธิ์, สะอาด, หมดจด; pure, clean; น. ผู้หรือสิ่งที่ชำระให้สะอาด; หญ้ายัญ; ทองแดง; น้ำ; ฝน; การขัดสี, การชำระ; เนยใส; น้ำผึ้ง; who or what cleans; sacrificial grass; copper; water; rain; rubbing, cleansing; ghee or clarified butter; honey.”
ในภาษาไทย ป > บ และ ว > พ : ปวิตฺต > ปวิตฺร > บพิตร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “บพิตร” ในภาษาไทยไว้ดังนี้ –
“บพิตร : (ราชาศัพท์; คำแบบ คือคำที่ใช้เฉพาะในหนังสือ ไม่ใช่คำพูดทั่วไป) (คำนาม) พระองค์ท่าน เช่น บำรุงฤทัยตระโบม บพิตรผู้อย่าดูเบา, โดยมากเป็นคำที่พระสงฆ์ใช้แก่เจ้านาย ซึ่งใช้คำเปลี่ยนไปตามพระอิสริยยศของเจ้านาย เช่น สมเด็จพระราชภคินีบพิตร สมเด็จพระบรมวงศบพิตร บรมวงศบพิตร พระเจ้าวรวงศบพิตร พระวรวงศบพิตร.”
โปรดสังเกตว่า “ปวิตฺต” บาลี กับ “ปวิตฺร” สันสกฤต ความหมายตรงกัน แต่ “บพิตร” ไทยใช้ในความหมายที่แปลกออกไปจนน่าสงสัยว่าเป็นศัพท์เดียวกันแน่หรือ น่าจะศึกษาสืบค้นต่อไป
(๒) “พิมุข”
บาลีเป็น “วิมุข” อ่านว่า วิ-มุ-ขะ รากศัพท์มาจาก วิ + มุข
(ก) “วิ” ปกติเป็นคำอุปสรรค ในบาลีมีคำอุปสรรคประมาณ 20 คำ “วิ” เป็นคำหนึ่งในจำนวนนั้น มีคำแปลที่นักเรียนบาลีท่องจำกันได้ว่า “วิ = วิเศษ, แจ้ง, ต่าง”
“วิเศษ” และ “ต่าง” ในคำแปลนี้หมายถึง แปลกไปจากปกติ, ไม่ใช่สิ่งที่มีที่เป็นอยู่ตามปกติ, ไม่เหมือนพวกที่เป็น ที่เห็น ที่มีกันอยู่ตามปกติ
ในที่นี้ “วิ” ตัดมาจากคำว่า “วิคต” (วิ-คะ-ตะ) แปลว่า ออกไป, หายไป, ขาดไป, สิ้นสุด, สูญหาย, ปราศจาก (gone away, disappeared, ceased; having lost or foregone; deprived of, being without)
(ข) “มุข” บาลีอ่านว่า มุ-ขะ รากศัพท์มาจาก –
(1) มุขฺ (ธาตุ = เปิด, ไป, เป็นไป) + อ ปัจจัย
: มุขฺ + อ = มุข แปลตามศัพท์ว่า (1) “อวัยวะอันเขาเปิดเผย” (2) “อวัยวะเป็นเครื่องเป็นไปแห่งประโยชน์สุข”
(2) มุ (ธาตุ = ผูก) + ข ปัจจัย
: มุ + ข = มุข แปลตามศัพท์ว่า “อวัยวะเป็นเครื่องผูก”
“มุข” หมายถึงอวัยวะ 2 อย่าง คือ ปาก (the mouth) และ หน้า (the face) จะหมายถึงอะไรต้องสังเกตที่บริบท
ในที่นี้ “มุข” หมายถึง หน้า (the face)
วิ + มุข = วิมุข แปลตามศัพท์ว่า “มีหน้าออกไปแล้ว”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วิมุข” ว่า turning away from, averted, neglectful (เบือนหนี, เลี่ยง, ละเลย)
ในที่นี้ “วิมุข” หมายถึง ไม่ได้อยู่ต่อหน้า ไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่อยู่อีกด้านหนึ่งของหน้า เอาความว่าอยู่ด้านหลัง หรืออยู่ข้างหลัง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของ “วิมุข” ในภาษาไทยไว้ดังนี้ –
“วิมุข : (คำวิเศษณ์) กลับหน้า; เพิกเฉย; ข้างหลัง, ฝ่ายหลัง. (ป., ส.).”
“วิมุข” แผลง ว เป็น พ ตามหลักนิยมในภาษาไทย เป็น “พิมุข” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ดังนี้ –
“พิมุข : (คำวิเศษณ์) ฝ่ายหลัง, ข้างหลัง. (ป., ส. วิมุข).”
บพิตร + พิมุข = บพิตรพิมุข แปลความว่า (1) “ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเจ้านาย” (2) “เจ้านายที่ไม่ได้อยู่ข้างหน้า”

ขยายความ :
คำว่า “บพิตรพิมุข” เป็นชื่อพระอารามหลวงในกรุงเทพฯ เดิมชื่อวัดเชิงเลน หรือวัดตีนเลน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประมาณ พ.ศ.2328 สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) พระราชนัดดา ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ได้พระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดบพิตรพิมุข” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขพระองค์นั้น
คลังความรู้ของราชบัณฑิตยสภา มีคำว่า “วังหลัง” เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2552 ขอนำมาเสนอเพื่อประกอบความรู้ขยายความคำว่า “บพิตรพิมุข” ให้ชัดเจนขึ้น ดังนี้ –
…………..
วังหลัง
ในครั้งก่อนเรารู้จัก วังหน้า กันไปแล้ว ในครั้งนี้จะกล่าวถึง วังหลัง และ ตำแหน่งวังหลัง วังหลังเดิมเป็นคำที่ใช้เรียกสถานที่ในสมัยอยุธยา คือ วังสวนหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเอกาทศรถมาตั้งแต่พระราชบิดาคือ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชยังทรงครองราชสมบัติอยู่ และที่ถูกเรียกว่า วังหลัง เพราะวังสวนหลวงตั้งอยู่ด้านหลังของพระราชวังหลวง ส่วนวังหลังของกรุงรัตนโกสินทร์ คือ บริเวณตำบลสวนลิ้นจี่ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช
ตำแหน่งวังหลัง หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เป็นตำแหน่งรองจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถือศักดินา ๑๕๐๐๐ มีการสถาปนาตำแหน่งนี้ครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา และมีสืบต่อมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ เป็น กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ซึ่งเป็นพระองค์เดียวในสมัยรัตนโกสินทร์และเป็นพระองค์สุดท้าย ต่อมา เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทิวงคตแล้ว ก็ไม่มีการแต่งตั้งผู้ใดขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้อีกเลย
ตำแหน่งวังหลังมีหน้าที่ในการเสด็จไปปฏิบัติราชการสงครามแทนพระองค์ หรือตามพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ หรือถ้าพระมหากษัตริย์และกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จฯ ในราชการสงคราม กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขก็จะทรงทำหน้าที่รักษาพระนครให้เรียบร้อยแทนพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ก็ปฏิบัติงานตามแต่จะมีรับสั่ง
ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนี้ คำว่า พิมุข ที่ถูกต้องเขียนด้วยตัว พ เพราะ พิมุข มีความหมายว่า หลัง หรือฝ่ายหลัง.
ปิยรัตน์ อินทร์อ่อน
…………..
ดูก่อนภราดา!
: อยู่หน้า อย่าลังเล
: อยู่หลัง อย่าโลเล
#บาลีวันละคำ (4,759)
23-6-68
…………………………….
…………………………….