ใครจะเป็นพระเจ้าอโศก

ใครจะเป็นพระเจ้าอโศก
————————
มีญาติมิตรท่านหนึ่งบรรยายปัญหาบางประการในวงการคณะสงฆ์ไว้อย่างน่าฟัง ผมเห็นว่าควรนำเนื้อหามาถ่ายทอด
ตอนท้ายผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นปิดท้ายไว้เล็กน้อย
ขอเชิญสดับโดยทั่วกันครับ
……………..
ทางรอดของชาวพุทธไม่ได้อยู่ที่มีศาสนาอื่นมาอยู่ร่วม แต่มันอยู่ที่ความเข้าใจในศาสนาของชาวพุทธมากกว่า ?
@ ทุกครั้งที่ผมแสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์ในเรื่องต่างๆ ผมสังเกตว่ามุมหนึ่งของความคิดเห็นของชาวพุทธยัง “สุดโต่ง”อยู่มาก คือสุดโต่งในการโยนปัญหาให้กับศาสนาอื่น ทั้งๆ ที่ปัญหาของพระศาสนาเรามันเกิดอยู่ที่ศาสนาของเราเองนี่แหละ
ไม่ว่าจะเป็น –
(๑) ด้านการปกครอง
ฝ่ายปกครองที่หละหลวม หย่อนยานมานาน
(ก) ที่ไปเน้นในเรื่อง ยศถาบันดาศักดิ์มากกว่าพระธรรมวินัยและความอยู่รอดของสงฆ์ในภาพรวม หากเราพิจารณาดีๆ จะพบว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์แต่ละฉบับที่ออกมาเพื่อวางกรอบในการปกครองสงฆ์นั้น มุ่งที่จะให้ความสำคัญกับ “อำนาจหน้าที่ในการปกครอง” มากกว่าที่จะเน้นในเรื่องของ “พระธรรมวินัย” คือบางเรื่องสงฆ์เองทำเป็นลืมตัวบทของพระธรรมวินัย เพื่อเปิดทางให้กับ “อำนาจรัฐ” ได้เข้าไปจัดการกับปัญหา
เช่น เรื่องพระดื่มเหล้า ปัญหานี้หากพิจารณาในแง่พระวินัย พระจัดการกันเองได้โดยไม่ต้องให้อำนาจภายนอกเข้ามาจัดการ แต่เราเลือกและยอมรับการเอาอำนาจรัฐเข้ามาจัดการแทน สึกพระดื่มเหล้า
ประการต่อมา –
(ข) เราเน้นระบบผู้ที่เป็นเจ้าพนักงานโดยตำแหน่งคือเจ้าอาวาส พระรูปไหนก็ตามที่เป็นเจ้าอาวาสก็เป็นเจ้าพนักงานโดยตำแหน่ง แต่เราไม่เน้นไปที่ “พระอุปัชฌาย์” ซึ่งแต่เดิมพระอุปัชฌาย์ก็คือ “พระฝ่ายปกครองสงฆ์”
กล่าวคือในสมัยพุทธกาลทรงมอบภาระการอบรมสั่งสอน “พระสงฆ์” ในอาวาสนั้นๆ ให้เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์เป็นเวลา ๕ ปีก่อนที่จะปล่อยออกไปเดินธุดงค์ไกลๆ ได้
พระอุปัชฌาย์คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองดูแลและให้ความรู้แก่พระสงฆ์ภายในวัดนั้นๆ แต่พอมาถึงปัจจุบันเรากลับไปให้ความสำคัญกับเจ้าอาวาส พอมีเจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ก็เลยลดความสำคัญลง ทำให้การบวชไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มาก
เนื่องจากพระอุปัชฌาย์ไม่ได้รับการเอาใจใส่ จึงเกิดเป็นความหละหลวมมีการบวชแบบ “ทิ้งๆ ขว้างๆ” เยอะมาก หรือบวช “เรี่ยราด” ไปทั่ว ไม่มีการดูแล เมื่อพระที่ตนเองทำการบวชให้ไปทำผิดก็ไม่รับผิดชอบ
และไม่มีการถามกันว่า “ใครเป็นอุปัชฌาย์ท่าน” เพื่อหาคนที่มารับผิดชอบ สมัยนี้ไม่มี แต่สมัยก่อนมีครับ ระบบอุปัชฌาย์สมัยก่อนเข้มแข็งมาก แต่ปัจจุบันนี้ระบบอุปัชฌาย์ค่อนข้างอ่อนแอ มีอุปัชฌาย์ประเภท “อุปัชฌาย์เป็ด” เกิดขึ้นเยอะแยะมากนั่นเอง
(ค) ปัจจุบันเราปกครองกันตามยศศักดิ์ ไม่ได้ปกครองกันตามอายุพรรษาเหมือนแต่เดิม พระอายุน้อยๆ มีพรรษาน้อย บวชเพียงแค่ ๖ พรรษาก็ได้เจ้าคุณแบบนี้เป็นต้น ก็สามารถไปเป็นผู้ปกครองได้โดยง่าย
ระบบอาวุโส ภันเต เราจึงอ่อนด้อยลงไปมาก ผมเห็นหลายครั้งพระภิกษุที่แม้จะมีพรรษามากกว่าก็ต้องกราบพระเจ้าคุณที่มีอายุพรรษาน้อย บางทีเห็นแล้วก็ต้องยอมรับสภาพไปตามนั้น
(๒) ด้านการศึกษา
ยุคปัจจุบันเราเน้นการศึกษาตามแบบคัมภีร์ “ชั้นสอง” คือคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก ไม่เน้นการศึกษาคัมภีร์หลักคือพระไตรปิฎก ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ปัจจุบันนี้พระสงฆ์บ้านเราที่รู้พระไตรปิฎก “แทบจะนับตัวได้” ทั้งนี้ก็เพราะเราไม่เน้นกันที่จะวางกรอบการศึกษาให้เข้าถึง “พระไตรปิฎก”
เอาเพียงแค่ให้เข้าถึงคัมภีร์ชั้นรองเท่านั้นก็พอ ทำให้ความเชี่ยวชาญและลุ่มลึกในเรื่องของหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงไม่ค่อยมีในหมู่พระสงฆ์ไทย ผิดกับพม่าที่เน้นในเรื่องการศึกษาที่จะต้องพัฒนาเพื่อให้เข้าถึงการเรียนการศึกษาคัมภีร์หลัก ไม่หยุดอยู่เพียงแค่คัมภีร์ “ชั้นรอง”เท่านั้น ทำให้พระพม่าหลายรูปเป็น “ติปฎกธโร” จำนวนมาก
(๓) ด้านการเผยแผ่
ปัจจุบันเราเน้นตัวใครตัวมัน และเผยแผ่ผ่านตัวบุคคลบ้าง ผ่านกลุ่มบ้าง โดยรูปแบบที่เป็นจุดเน้นของการเผยแผ่ในเมืองไทยเป็นการเน้นการเผยแผ่แบบ “การเทศน์แบบสุขสันหรรษา” ไม่ได้มีการเทศน์ที่เน้นผู้ฟังให้เข้าถึงหลักคำสอนที่แท้จริง หลายแห่งการเทศน์ที่มีคนไปฟังมากๆ ก็คือการเทศน์ของพระเซเลบที่มีชื่อเสียงเทศน์แบบทอล์คโชว์
บ้านเราเน้นรูปแบบการเทศน์อย่างนี้ ถ้าเทียบกับพม่ามีความแตกต่างกันมาก พม่าเทศน์เป็นการเป็นงาน เทศน์เพื่อโปรดชาวบ้านจริงๆ จังๆ เทศน์ทุกวันพระมีพระสงฆ์นักเทศน์ตะเวนออกเทศน์ให้ญาติโยมฟังตลอด แต่ละหมู่บ้านมี “ธรรมศาลา” ไว้เป็นสถานที่นัดพบของชาวบ้านกับพระนักเทศน์ในทุกวันพระ พระจะแข่งกันเรียนแข่งกันศึกษาเพื่อที่จะได้เทศน์เก่งๆ ให้ญาติโยมฟัง จะได้มีคนมาฟังเยอะๆ
บ้านเราเมืองเราตอนนี้ “ไม่มีค่านิยมเรื่องเทศน์ในหมู่พระสงฆ์องค์เณรเลย” พระสงฆ์องค์เณรเรามุ่งไปไขว่คว้าปริญญาตรี โท เอก กันเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการคิดจะมาเป็นนักเทศน์กันสักเท่าไหร่ และบ้านเราไม่มีกลุ่มงานที่เป็นองค์กรของสงฆ์ที่เน้นในเรื่องเทศน์เพื่อเข้าถึงหลักคำสอนคือพระธรรมวินัย
แต่ทุกอย่างให้เป็นไปตาม “บุคลิกลักษณะและความเชี่ยวชาญของใครของมันเป็นเกณฑ์” เรื่องนี้แหละที่ผมคิดว่าทิศทางในการเผยแผ่ของเมืองไทยเราจึงอ่อนด้อย ปล่อยให้บางศาสนารุกคืบมาได้
@ เอาล่ะครับที่ผ่านมาเป็นแบบนี้จริงๆ ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวสำหรับชาวพุทธบางทีอาจจะไม่ใช่ภัยที่มาจากภายนอก แต่มันอาจจะเป็นภัยที่เกิดจากภายในของเราเองที่เราเองไม่ได้ใส่ใจสิ่งต่างๆ ที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนี้มาก่อนเลย ที่ว่ามาอย่าพึ่งไปตัดสินครับว่ามันดีหรือไม่ดี ผมคิดว่าอ่านและตรองตามก็อาจจะพอมองเห็นความจริงนั้นได้ครับ
ขอบคุณครับ
Naga King
(โพสต์เมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑)
————-
ต่อไปนี้เป็นความเห็นของผม
…………..
ท่านอาจารย์ชี้ประเด็นได้ชัดทุกจุด ขอคารวะมา ณ ที่นี้ครับ
เมื่อเห็นประเด็นแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือทำอย่างไรผู้บริหารการคณะสงฆ์ท่านจึงจะลงมือทำงาน คือลงมือแก้ปัญหา
ข้อเท็จจริงก็คือ ทุกวันนี้คณะสงฆ์ท่านไม่แก้ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น อะไรที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาท่านก็ปล่อยให้เป็นปัญหาอยู่อย่างนั้น
ตรงนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
เรารู้ปัญหาทุกอย่าง สาธยายปัญหาได้ทุกแง่ทุกมุม แต่ผู้บริหารการคณะสงฆ์ท่านไม่ทำอะไร แล้วเราจะทำอย่างไรกัน
ความจำเป็นเร่งด่วน ณ เวลานี้ก็คือ เราต้องการคนที่มีความคิด มีวิธีการ หรือมีอำนาจที่จะสั่งให้คณะสงฆ์ท่านลงมือแก้ปัญหา
ถ้าเราหาคนคนนี้ไม่ได้ หรือทำให้คณะสงฆ์ลงมือทำงานไม่ได้ ความรู้ในปัญหาที่เราบรรยายสู่กันฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ธรรมชาติของคณะสงฆ์บ้านเรานั้นต้องมีคนสั่งท่านจึงจะทำงาน ถ้ามีคนสั่งท่านจะลนลานทำงานกันเอาเป็นเอาตายทันที
เพราะฉะนั้น ช่วยกันตามหาคนสั่งคณะสงฆ์ให้เจอ แล้วขอให้ท่านผู้นั้นสั่งไปที่คณะสงฆ์ นั่นแหละเราจึงจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้
แต่ความหวังที่จะตามหาคนมีอำนาจสั่งคณะสงฆ์ให้เจอ ก็ริบหรี่มาก เพราะพวกเราจะเกี่ยงกัน – คุณนั่นแหละทำ คุณรู้ปัญหาดีนี่ คุณนั่นแหละไปเที่ยวหา ไม่ใช่หน้าที่ฉัน – ทุกคนจะพูดอย่างนี้
ก็เลยมีปัญหาซ้อนในปัญหา นั่นคือ ใครจะเป็นคนรับหน้าที่ตามหาพระเจ้าอโศกมาช่วยสั่งคณะสงฆ์?
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๖ สิงหาคม ๒๕๖๑
๑๕:๕๙
———-
ต้นฉบับต้นเรื่อง
Naga King
4 ชม. ·
๕ สิงหาคม ๒๕๖๑
ทางรอดของชาวพุทธไม่ได้อยู่ที่มีศาสนาอื่นมาอยู่ร่วม แต่มันอยู่ที่ความเข้าใจในศาสนาของชาวพุทธมากกว่า ?
@ ทุกครั้งที่ผมแสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์ในเรื่องต่างๆ ผมสังเกตว่ามุมหนึ่งของความคิดเห็นของชาวพุทธยัง “สุดโต่ง”อยู่มาก คือสุดโต่งในการโยนปัญหาให้กับศาสนาอื่น ทั้งๆที่ปัญหาของพระศาสนาเรามันเกิดอยู่ที่ศาสนาของเราเองนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น
(๑) ด้านการปกครอง
ฝ่ายปกครองที่หละหลวม หย่อนยานมานาน
(ก) ที่ไปเน้นในเรื่อง ยศฐาบันดาศักดิ์มากกว่าพระธรรมวินัยและความอยู่รอดของสงฆ์ในภาพรวม หากเราพิจารณาดีๆจะพบว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์แต่ละฉบับที่ออกมาเพื่อวางกรอบในการปกครองสงฆ์นั้น
มุ่งที่จะให้ความสำคัญกับ “อำนาจหน้าที่ในการปกครอง”มากกว่าที่จะเน้นในเรื่องของ “พระธรรมวินัย” คือบางเรื่องสงฆ์เองทำเป็นลืมตัวบทของพระธรรมวินัย เพื่อเปิดทางให้กับ “อำนาจรัฐ”ได้เข้าไปจัดการกับปัญหา
เช่น เรื่องพระดื่มเหล้า ปัญหานี้หากพิจารณาในแง่พระวินัย พระจัดการกันเองได้โดยไม่ต้องให้อำนาจภายนอกเข้ามาจัดการ แต่เราเลือกและยอมรับการเอาอำนาจรัฐเข้ามาจัดการแทน สึกพระดื่มเหล้า
ประการต่อมา
(ข) เราเน้นระบบผู้ที่เป็นเจ้าพนักงานโดยตำแหน่งคือเจ้าอาวาส พระรูปไหนก็ตามที่เป็นเจ้าอาวาสก็เป็นเจ้าพนักงานโดยตำแหน่ง แต่เราไม่เน้นไปที่่ “พระอุปัชฌาย์” ซึ่งแต่เดิมพระอุปัชฌาย์ก็คือ “พระฝ่ายปกครองสงฆ์”
กล่าวคือในสมัยพุทธกาลทรงมอบภาระการอบรมสั่งสอน “พระสงฆ์”ในอาวาสนั้นๆให้เป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์เป็นเวลา ๕ ปีก่อนที่จะปล่อยออกไปเดินธุดงค์ไกลๆได้
พระอุปัชฌาย์คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองดูแลและให้ความรู้แก่พระสงฆ์ภายในวัดนั้นๆ แต่พอมาถึงปัจจุบันเรากลับไปให้ความสำคัญกับเจ้าอาวาส พอมีเจ้าอาวาสพระอุปัชฌาย์ก็เลยลดความสำคัญลง ทำให้การบวชไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มาก
เนื่องจากพระอุปัชฌาย์ไม่ได้รับการเอาใจใส่จึงเกิดเป็นความหละหลวมมีการบวชแบบ “ทิ้งๆขว้างๆ”เยอะมากหรือบวช “เรี่ยราด”ไปทั่วทั่วไม่มีการดูแล เมื่อพระที่ตนเองทำการบวให้ไปทำผิดก็ไม่รับผิดชอบ
และไม่มีการถามกันว่า “ใครเป็นอุปัฌาย์ท่าน” เพื่อหาคนที่มารับผิดชอบ สมัยนี้ไม่มี แต่สมัยก่อนมีครับ ระบบอุปัฌาย์สมัยก่อนเข้มแข็งมาก แต่ปัจจุบันนี้ระบบอุปัชฌาย์ค่อนข้างอ่อนแอ มีอุปัชฌาย์ประเภท “อุปัชฌาย์เป็ด” เกิดขึ้นเยอะแยะมากนั่นเอง
(ค) ปัจจุบันเราปกครองกันตามยศศักดิ์ ไม่ได้ปกครองกันตามอายุพรรษาเหมือนแต่เดิม พระอายุน้อยๆมีพรรษาน้อย บวชเพียงแค่ ๖ พรรษาก็ได้เจ้าคุณ แบบนี้เป็นต้นก็สามารถไปเป็นผู้ปกครองได้โดยง่าย
ระบบอาวุโส ภันเต เราจึงอ่อนด้อยลงไปมาก ผมเห็นหลายครั้งพระภิกษุที่แม้จะมีพรรษามากกว่าก็ต้องกราบพระเจ้าคุณที่มีอายุพรรษาน้อย บางทีเห็นแล้วก็ต้องยอมรับสภาพไปตามนั้น
(๒) ด้านการศึกษา
ยุคปัจจุบันเราเน้นการศึกษาตามแบบคัมภีร์ “ชั้นสอง” คือคัมภีร์อรรถกถา เป็นหลัก ไม่เน้นการศึกษษคัมภีร์หลัก คือพระไตรปิฎก ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า ปัจจุบันนี้พระสงฆ์บ้านเราที่รู้พระไตรปิฎก “แทบจะนับตัวได้” ทั้งนี้ก็เพราะเราไม่เนนกันที่จะวางกรอบการศึกษาให้เข้าถึง “พระไตรปิฎก”
เอาเพียงแค่่ให้เข้าถึงคัมภีร์ชั้นรองเท่านั้นก็พอ ทำให้ความเชี่ยวชาญและลุ่มลึกในเรื่องของหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาจึงไม่ค่อยมีในหมู่พระสงฆ์ไทย ผิดกับพม่าที่เน้นในเรื่องการศึกษาที่จะต้องพัฒนาเพื่อให้เข้าถึงการเรียนการศึกษาคัมภีร์หลักไม่หยุดอยู่เพียงแค่คัมภีร์ “ชั้นรอง”เท่านั้น ทำให้พระพม่าหลายรูปเป็น “ติปฎกธโร”จำนวนมาก
(๓) ด้านการเผยแผ่
ปัจจุบันเราเน้นตัวใครตัวมัน และเผยแผ่ผ่านตัวบุคคลบ้าง ผ่านกลุ่มบ้างโดยรูปแบบที่เป็นจุดเน้นของการเผยแผ่ในเมืองไทยเป็นการเน้นการเผยแผ่แบบ “การเทศน์แบบสุขสันหรรษา” ไม่ได้มีการเทศน์ที่เน้นผู้ฟังให้เข้าถึงหลักคำสอนที่แท้จริง หลายแห่งการเทศน์ที่มีคนไปฟังมากๆก็คือการเทศน์ของพระเซเลบที่มีชื่อเสียงเทศน์แบบทอล์คโชว์
บ้านเราเน้นรูปแบบการเทศน์อย่างนี้ ถ้าเทียบกับพม่ามีความแตกต่างกันมาก พม่าเทศน์เป็นการเป็นงาน เทศน์เพื่อโปรดชาวบ้านจริงๆจังๆเทศน์ทุกวันพระมีพระสงฆ์นักเทศน์ตะเวนออกเทศน์ให้ญาติโยมฟังตลอดแต่ละหมู่บ้านมี “ธรรมศาลา”ไว้เป็นสถานที่นัดพบของชาวบ้านกับพระนักเทศน์ในทุกวันพระ พระจะแข่งกันนเรียนแข่งกันศึกษาเพื่อที่จะได้เทศน์เก่งๆให้ญาติโยมฟัง
จะได้มีคนมาฟังเยอะๆ บ้านเราเมืองเราตอนนี้ “ไม่มีค่านิยมเรื่องเทศน์ในหมู่พระสงฆ์องค์เณรเลย” พระสงฆ์องค์เณรเรามุ่งไปไขว่คว้าปริญญาตรี โท เอก กันเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของการคิดจะมาเป็นนักเทศน์กันสักเท่าไหร่ และบ้านเราไม่มีกลุ่มงานที่เป็นองค์กรของสงฆ์ที่เน้นในเรื่องเทศน์เพื่อเข้าถึงหลักคำสอน คือพระธรรมวินัย
แต่ทุกอย่างให้เป็นไปตาม “บุคลิกลักษณะและความเชี่ยวชาญของใครของมันเป็นเกณฑ์ เรื่องนี้แหละที่ผมคิดว่า “ทิศทางในการเผยแผ่ของเมืองไทยเราจึงอ่อนด้อย ปล่อยให้บางศาสนารุกคืบมาได้
@ เอาล่ะครับที่ผ่านมาเป็นแบบนี้จริงๆ ดังนั้น สิ่งที่น่ากลัวสำหรับชาวพุทธบางทีอาจจะไม่ใช่ภัยที่มาจากภายนอกแต่มันอาจจะเป็นภัยที่เกิดจากภายในของเราเองที่เราเองไม่ได้ใส่ใจสิ่งต่างๆที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดนี้มาก่อนเลย ที่ว่ามาอย่าพึ่งไปตัดสินครับว่ามันดีหรือไม่ดีผมคิดว่าอ่านและตรองตามก็อาจจะพอมองเห็นความจริงนั้นได้ครับ
ขอบคุณครับ
Naga King
