ความรักชาติกับมารยาทสังคม

ความรักชาติกับมารยาทสังคม
——————————
เช้านี้ผมเดินออกกำลังตามปกติ
ขากลับ “ติดเคารพเพลงชาติ” อยู่แถวๆ หน้าการประปาเทศบาลเมืองราชบุรี
แถวนั้นนอกจากการประปาฯ แล้ว ยังมีวัดศรีสุริยวงศ์ มีโรงเจ มีหน่วยศิลปากรที่ ๑ และมีโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดช่องลม
แต่เช้านี้ ณ บริเวณนั้น มีคนยืนเคารพเพลงชาติ ๒ คน
เป็นชายสูงอายุคนหนึ่ง และสุภาพสตรีวัยใกล้เกษียณอีกคนหนึ่ง ยืนคนละฟากถนน
สิ่งอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวย้ายที่ได้ ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ต่างก็เคลื่อนไหวย้ายที่กันไปตามปกติ
————
เคยมีผู้แสดงความคิดเห็นเรื่องการเคารพเพลงชาติ (หรือเคารพธงชาติ) ว่า ความรักชาตินั้นต้องแสดงออกด้วยการยืนตรงเคารพเพลงชาติเท่านั้นหรือ ทำอย่างอื่นไม่รักชาติหรือ
แม้เขา (ผู้แสดงความคิดเห็น) จะไม่ยืนเคารเพลงชาติ เขาก็รักชาติได้ บางทีอาจจะรักมากกว่าคนที่ยืนเคารพเพลงชาตินั่นเสียด้วยซ้ำ
บางคนถึงกับบอกว่า การยืนหรือไม่ยืนเคารพเพลงชาติเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล รัฐบาลหรือทางราชการหรือใครก็ตามไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่าย
————
ถ้าเราอยู่คนเดียวในป่าหิมพานต์ เราก็มีสิทธิเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามแต่ใจจะปรารถนา
แต่เมื่อเราอยู่ร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ต่อให้อยู่ในป่าหิมพานต์เราก็ต้องมีกฎกติกามารยาทอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ที่เรียกว่า “วัฒนธรรม” ซึ่งแปลว่า ธรรมคือความเจริญ
การปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท ไม่ใช่เครื่องวัดพิสูจน์ว่าใครรักชาติใครไม่รักชาติ
แต่เป็นเครื่องวัดพิสูจน์ว่า ใครมีความเจริญหรือใครยังไม่เจริญ
————
วิธีแสดงความคิดเห็นด้วยลีลาภาษาแบบข้างต้นนั้นดูออกจะเป็นที่นิยมกันมากอยู่ เช่น –
จะเป็นคนดีนี่ต้องบวชเท่านั้นหรือ ไม่บวชเป็นคนดีไม่ได้หรือ
ต้องใส่บาตรเท่านั้นหรือจึงจะเรียกว่าทำบุญ ทำอย่างอื่นไม่เป็นบุญกระนั้นหรือ
ต้องไปเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ๗ วันอย่างนั้นหรือจึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม คนอยู่บ้านปฏิบัติธรรมไม่ได้หรือ
จะรู้บาลีนี่ต้องเป็นมหาเท่านั้นหรือ คนไม่เป็นมหาไม่มีสิทธิ์รู้บาลีหรือ
………
ลีลาภาษาแบบนี้ฟังเผินๆ ก็คมคายดีอยู่ แต่ฟังให้ดีจะเห็นว่าพูดแบบหาเรื่อง มีนัยยกตนข่มท่านอยู่ในทีด้วย
————
ใครจะไม่บวช ไม่ใส่บาตร ไม่ไปเข้ากรรมฐาน หรือไม่ยืนตรงเคารพเพลงชาติตอนแปดโมงเช้าหกโมงเย็น แต่จะไปทำความดีอะไรที่ไหนเมื่อไรอย่างไร ก็เชิญ
แต่การบวช การใส่บาตร การไปเข้ากรรมฐาน หรือการยืนตรงเคารพเพลงชาติตอนแปดโมงเช้าหกโมงเย็น
นี่มันเป็นการทำความดีที่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า
เป็นโอกาสที่มาถึงแล้ว
ใครสามารถทำได้ ก็ให้เขาทำไป
ใครไม่ทำก็ไม่ควรไปกระทบกระเทียบคนที่เขาทำ
ไม่อนุโมทนาก็อยู่เฉยๆ ของเราไป
แต่เรื่องที่เป็นกฎกติกามารยาทสังคม ถ้าไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาหรือป่วยจนลุกไม่ขึ้น ทำได้ก็ควรทำ
ไม่ใช่อ้างว่าฉันจะไปรักชาติด้วยวิธีอื่น แต่วิธีนี้ฉันไม่ทำ เพราะฉันไม่เห็นด้วย
ต้องแยกให้ถูกว่าแค่ไหนเป็นสาระ และแค่ไหนเป็นมารยาทสังคม
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนไปนิพพานก็จริง
แต่ท่านก็สอนให้คนที่จะไปนิพพานนั้นมีมารยาทสังคมด้วย
————
วันนี้ ถ้าเทวดาที่รักษาเมืองไทยท่านกำลังตรวจตราดูความเรียบร้อยของบ้านเมืองอยู่ และถ้าพอดีท่านกำลังมองมาที่ตรงนั้น
ผมว่าท่านคงอนุโมทนาที่มีคนรักษากฎกติกามารยาทของสังคมยืนอยู่ตรงนั้นตั้ง ๒ คน
เป็นชายสูงอายุคนหนึ่ง และสุภาพสตรีวัยใกล้เกษียณอีกคนหนึ่ง
รักชาติหรือไม่รักชาติ ก็ควรมีมารยาทสังคมนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๘