ยมกปาฏิหาริย์ [2] (บาลีวันละคำ 4,773)

ยมกปาฏิหาริย์ [2]
เกรงว่านานไปเขาจะลืม-ว่าคือปาฏิหาริย์แบบไหน
อ่านตามหลักภาษาว่า ยะ-มะ-กะ-ปา-ติ-หาน ก็ได้
ยะ-มก-กะ-ปา-ติ-หาน ก็ได้
อ่านตามสะดวกปากว่า ยะ-มก-ปา-ติ-หาน
ประกอบด้วยคำว่า ยมก + ปาฏิหาริย์
(๑) “ยมก”
อ่านว่า ยะ-มะ-กะ รากศัพท์มาจาก ยมุ (ธาตุ = งดเว้น) + ณฺวุ ปัจจัย, แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ), “ลบสระหน้า” คือ อุ ที่ ยมุ (ยมุ > ยม) (บางสูตรว่า ยมฺ ธาตุ = งดเว้น)
: ยมุ + ณฺวุ = ยมุณฺวุ > ยมณฺวุ > ยมก (ยมุ > ยม + ณฺวุ > อก : ยม + อก = ยมก) แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เว้นจากเดี่ยว” หมายถึง สิ่งที่เป็นคู่
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แยกความหมายของ “ยมก” ไว้ดังนี้ –
(1) ใช้เป็นคุณศัพท์ หมายถึง คู่, แฝด (double, twin) = สิ่งเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีรูปลักษณ์เหมือนกัน แต่มีจำนวนเป็น 2 และอยู่ในที่เดียวกัน เช่น ต้นไม้ชนิดเดียวกัน 2 ต้น
(2) ใช้เป็นคุณศัพท์/คำนาม หมายถึง คู่แฝด, เด็กฝาแฝด (a twin, twin child) = สิ่งเดียวกัน และมีรูปลักษณ์บางส่วนหรือส่วนมากเหมือนกัน
(3) ใช้เป็นคำนาม หมายถึง หนึ่งคู่, คู่หนึ่ง (a pair, couple) = สิ่งที่ถูกนำมาเข้าคู่กันด้วยเหตุผลบางอย่าง
ขยายความแทรก :
“ยมก” ตามข้อ (3) หมายถึง ของ 2 สิ่งที่ถูกนำมาเทียบคู่กันตามวัตถุประสงค์เฉพาะกรณีนั้น ๆ เช่น ดีกับชั่ว ขาวกับดำ สว่างกับมืด พาลกับบัณฑิต เป็นต้น ของที่ถูกนำมาเข้าคู่กันนั้น ตามปกติแล้วไม่จำเป็นจะต้องคู่กัน แต่ด้วยความประสงค์บางอย่างจึงถูกนำมากล่าวถึงแบบ “จับคู่” กัน
ตัวอย่างการจับคู่แบบนี้ก็เช่น “ยมกวรรค” ในคัมภีร์ธรรมบท ที่ยกจิตที่เป็นกุศลกับจิตที่เป็นอกุศลเป็นต้นมาเข้าคู่กัน เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างแบบตรงกันข้าม (จิตที่เป็นกุศลไม่จำเป็นต้องเข้าคู่กับจิตที่เป็นอกุศลทุกรณีไป)
(๒) “ปาฏิหาริย์”
บาลีเป็น “ปาฏิหาริย” อ่านว่า ปา-ติ-หา-ริ-ยะ (มีรูปคำอื่น ๆ อีกด้วย) รากศัพท์มาจาก –
(1) ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + หิ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, ทีฆะ อะ ที่ ป-(ฏิ) เป็น อา (ปฏิ > ปาฏิ), แปลง หิ เป็น หาริย
: ปฏิ + หิ = ปฏิหิ + ณ = ปฏิหิณ > ปาฏิหิณ > ปาฏิหิ > ปาฏิหาริย แปลตามศัพ์ว่า “พลังที่เป็นไปในปฏิปักษ์คือฝ่ายตรงข้าม”
(2) ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + หรฺ (ธาตุ = นำไป) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณ (ณฺย > ย), ทีฆะ อะ ที่ ป-(ฏิ) เป็น อา (ปฏิ > ปาฏิ), ทีฆะ อะ ที่ ห-(รฺ) (ภาษาไวยากรณ์ว่า “อะ ต้นธาตุ”) เป็น อา (หรฺ > หาร), ลง อิ อาคมระหว่างธาตุกับปัจจัย (หรฺ > หาร + อิ + ณฺย > ย)
: ปฏิ + หรฺ = ปฏิหรฺ + อิ + ณฺย = ปฏิหริณฺย > ปาฏิหริณฺย > ปาฏิหาริณฺย > ปาฏิหาริย แปลตามศัพ์ว่า (1) “พลังที่นำไปเสียซึ่งปฏิปักษ์” (คือสามารถกำจัดปรปักษ์ได้) (2) “พลังอันผู้เสร็จกิจแล้วในเพราะจิตตั้งมั่นและปราศจากอุปกิเลสแล้วนำให้เป็นไปเฉพาะ” (คือเมื่อจิตตั้งมั่นถึงระดับแล้วพลังชนิดนี้จะเกิดขึ้นและแสดงออกมาได้ตามที่ต้องการ)
โปรดสังเกตว่า “ปาฏิหาริย” มักใช้ต่อเมื่อมี “ปฏิปักษ์” คือฝ่ายตรงข้าม หรือมีอีกฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้นเท่านั้น
“ปาฏิหาริย” ใช้เป็นคำนาม (นปุงสกลิงค์) หมายถึง สิ่งอัศจรรย์, เรื่องเหลือเชื่อเหนือความคาดหมาย (wonder, miracle) ใช้เป็นคุณศัพท์หมายถึง ประหลาด, อัศจรรย์, วิสามัญ, พิเศษ (striking, surprising, extraordinary, special)
“ปาฏิหาริย” ในภาษาไทยใช้เป็น “ปาฏิหาริย์” (ปา-ติหาน) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ปาฏิหาริย์ : (คำนาม) สิ่งที่น่าอัศจรรย์, ความอัศจรรย์, มี ๓ อย่าง คือ ๑. อิทธิปาฏิหาริย์ = ฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ หมายถึง การแสดงฤทธิ์ที่พ้นวิสัยของสามัญมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ๒. อาเทสนาปาฏิหาริย์ = การดักใจเป็นอัศจรรย์ หมายถึง การดักใจทายใจคนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ๓. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ = การสอนเป็นอัศจรรย์ หมายถึง คำสั่งสอนอันอาจจูงใจคนให้นิยมเชื่อถือไปตามได้อย่างน่าอัศจรรย์. (ปาก) ก. กระทำสิ่งที่ตามปรกติทำไม่ได้ เช่น ปาฏิหาริย์ขึ้นไปอยู่บนหลังคา. (ป.; ส. ปฺราติหารฺย).”
ยมก + ปาฏิหาริย = ยมกปาฏิหาริย (ยะ-มะ-กะ-ปา-ติ-หา-ริ-ยะ) > ยมกปาฏิหาริย์ แปลว่า “ปาฏิหาริย์ที่ทำเป็นคู่”
ขยายความ :
มีปัญหาว่า “ยมก – คู่” ในที่นี้หมายถึงอย่างไร อะไรคู่?
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ยมกปาฏิหาริย์ : ปาฏิหาริย์ที่แสดงเป็นคู่ ๆ เป็นปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทําที่ต้นมะม่วงซึ่งเรียกว่าคัณฑามพพฤกษ์ คือ ทรงบันดาลท่อนํ้าท่อไฟออกจากส่วนของพระกายเป็นคู่ ๆ กัน”
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต อธิบายลักษณะของ “ยมกปาฏิหาริย์” ไว้ว่า –
…………..
… เป็นปาฏิหาริย์พิเศษที่เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงกระทำได้ ไม่สาธารณะกับพระสาวกทั้งหลาย เช่น ให้เปลวไฟกับสายน้ำพวยพุ่งออกไป จากพระวรกายต่างส่วนต่างด้าน พร้อมกันเป็นคู่ๆ ให้ลำเพลิงพวยพุ่งจากพระวรกายข้างขวา พร้อมกับอุทกธาราพวยพุ่งจากพระวรกายข้างซ้าย และสลับกันบ้าง ให้ลำเพลิงพวยพุ่งจากพระเนตรข้างขวา พร้อมกับอุทกธาราพวยพุ่งจากพระเนตรข้างซ้าย และสลับกันบ้าง จากพระโสต พระนาสิก พระอังสา พระหัตถ์ พระบาทขวา ซ้าย ตลอดจนช่องพระองคุลี และขุมพระโลมา ก็เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ในท่ามกลางพระฉัพพรรณรังสี พระผู้มีพระภาคกับพระพุทธนิมิต (พระพุทธรูปที่ทรงเนรมิตขึ้น) ก็สำเร็จพระอิริยาบถที่ต่างกัน เช่น ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงจงกรม พระพุทธนิมิตประทับยืนบ้าง ประทับนั่งบ้าง ทรงไสยาสน์บ้าง ขณะที่พระพุทธนิมิตทรงไสยาสน์ พระผู้มีพระภาคทรงจงกรมบ้าง ประทับยืนบ้าง ประทับนั่งบ้าง ดังนี้เป็นต้น …
…………..
“ยมก – คู่” ใน ยมกปาฏิหาริย์ จึงหมายถึงท่อน้ำ (อุทกธารา) คู่กับท่อไฟ (อคฺคิกฺขนฺธ)
“ยมกปาฏิหาริย์” ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระองค์เป็นคู่ ๆ เช่น พระพุทธเจ้าประทับนั่งคู่กัน 2 องค์ ประทับยืนคู่กัน 2 องค์ บรรทมคู่กัน 2 องค์ เป็นต้น อย่างในภาพที่จิตรกรบางท่านเขียนขึ้นดังที่เรามักเห็นกันคุ้นตา
อนึ่ง ในยมกปาฏิหาริย์ กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จไปบิณฑบาตที่อุตรกุรุทวีปก็ให้พระพุทธเจ้าที่ทรงเนรมิตแสดงธรรมแทน ดังนี้เป็นต้น ก็ไม่พึงเข้าใจไปว่า “ยมก – คู่” คือ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคู่กับพระพุทธเจ้าที่ทรงเนรมิตขึ้น ดังนี้ “ยมก – คู่” ใน “ยมกปาฏิหาริย์” ก็ไม่ใช่คู่แบบนี้
ขอให้ช่วยกันศึกษาให้เข้าใจและบอกกล่าวเผยแผ่ให้เข้าใจถูกโดยทั่วกัน ขออย่าพยายามอธิบายผิดให้กลายเป็นถูก
…………..
ดูก่อนภราดา!
ทดสอบความเข้าใจ –
: เข้าใจถูกว่า “เข้าใจผิด” – ปลอดภัย
: เข้าใจผิดว่า “เข้าใจถูก” – อันตราย
#บาลีวันละคำ (4,773)
7-7-68
…………………………….
…………………………….