สงฆ์สาวก (บาลีวันละคำ 4,828)

สงฆ์สาวก
คือสงฆ์แบบไหน
อ่านว่า สง-สา-วก
ประกอบด้วยคำว่า สงฆ์ + สาวก
คำว่า “สงฆ์สาวก” เป็นคำเรียกพระภิกษุ มีลักษณะเป็นภาษาเขียน ไม่ใช่ภาษาพูด คำเรียกพระภิกษุที่เป็นภาษาพูด เราเรียกว่า “พระ” กันทั่วไป คำว่า “ภิกษุ” ก็แทบจะไม่มีใครพูด ยิ่ง “สงฆ์สาวก” ด้วยแล้วเป็นภาษาเขียนโดยแท้
ผู้เขียนบาลีวันละคำตรวจดูบาลีวันละคำที่เขียนมาแล้วทั้งหมด ยังไม่มีคำว่า “สงฆ์สาวก” วันนี้ได้อ่านโพสต์ของญาติมิตรท่านหนึ่ง ท่านใช้คำว่า “สงฆ์สาวก” จึงเป็นเหตุให้เขียนคำนี้
(๑) “สงฆ์”
เขียนแบบบาลีเป็น “สงฺฆ” อ่านว่า สัง-คะ รากศัพท์มาจาก สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน) + หนฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ง (สํ > สงฺ), แปลง หนฺ เป็น ฆ
: สํ > สงฺ + หนฺ > ฆ + อ = สงฺฆ (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า –
(1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน” หมายความว่า ส่วนย่อยที่มีคุณสมบัติหลัก ๆ “ไม่แปลกกัน” คือมีคุณสมบัติตรงกัน เหมือนกัน ส่วนย่อยดังกล่าวนี้ไปอยู่รวมกัน คือเกาะกลุ่มกัน ดังนี้เรียกว่า “สงฺฆ”
(2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน” ความหมายนี้เล็งที่บรรพชิตหรือสาวกที่เป็นนักบวชในลัทธิศาสนาต่าง ๆ เช่นภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นต้น ต้องมีความคิดเห็นและความประพฤติลงรอยกันจึงจะรวมเป็น “สงฺฆ” อยู่ได้
“สงฺฆ” จึงหมายถึง หมู่, กอง, กลุ่ม, คณะ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สงฺฆ” เป็นอังกฤษว่า –
(1) multitude, assemblage (ฝูงชน, ชุมนุมชน, หมู่, ฝูง)
(2) the Order, the priesthood, the clergy, the Buddhist church (คณะสงฆ์, พระ, นักบวช, พุทธจักร)
(3) a larger assemblage, a community (กลุ่มใหญ่, ประชาคม)
“สงฺฆ” ปกติในภาษาไทยใช้ว่า “สงฆ์” ถ้าอยู่หน้าคำสมาสมักใช้เป็น “สังฆ-”
ในภาษาไทย คำว่า “สงฆ์” อาจหมายถึงภิกษุที่รวมกันเป็นหมู่คณะก็ได้ หมายถึงภิกษุแต่ละรูปก็ได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ดังนี้ –
(ปรับย่อหน้าเพื่อให้เห็นความหมายชัดเจนขึ้น)
…………..
สงฆ์ : (คำนาม) ภิกษุ เช่น ของสงฆ์ พิธีสงฆ์,
บางทีก็ใช้ควบกับคำ พระ หรือ ภิกษุ เป็น พระสงฆ์ หรือ ภิกษุสงฆ์ เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ มีภิกษุสงฆ์มารับบิณฑบาตมาก,
ลักษณนามว่า รูป หรือ องค์ เช่น ภิกษุสงฆ์ ๒ รูป พระสงฆ์ ๔ องค์;
ภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปร่วมกันทำสังฆกรรม แต่จำนวนภิกษุที่เข้าร่วมสังฆกรรมแต่ละอย่างไม่เท่ากัน คือ
ในสังฆกรรมทั่ว ๆ ไป เช่น ในการสวดพิธีธรรม สวดอภิธัมมัตถสังคหะ ประกอบด้วยภิกษุ ๔ รูป เรียกว่า สงฆ์จตุรวรรค
ในการรับกฐิน สวดพระปาติโมกข์ ปวารณากรรม และอุปสมบทในถิ่นที่ขาดแคลนภิกษุ ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๕ รูป เรียกว่า สงฆ์ปัญจวรรค
ในการอุปสมบทในถิ่นที่มีภิกษุมาก ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๑๐ รูป เรียกว่า สงฆ์ทสวรรค
และในการสวดอัพภานระงับอาบัติสังฆาทิเสส ต้องประกอบด้วยภิกษุ ๒๐ รูป เรียกว่า สงฆ์วีสติวรรค,
ภิกษุที่เข้าร่วมสังฆกรรมดังกล่าว ถ้ามากกว่าจำนวนที่กำหนดจึงจะใช้ได้ ถ้าขาดจำนวนใช้ไม่ได้. (ป. สงฺฆ; ส. สํฆ).
…………..
“สงฆ์” ในพระพุทธศาสนามีความหมาย 2 อย่าง คือ –
(1) “สาวกสงฆ์” หมายถึงหมู่สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ได้บรรลุธรรมในภูมิอริยบุคคลคือเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ดังคำสวดในสังฆคุณที่ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
(2) “ภิกขุสงฆ์” หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางพระวินัย
บางทีเรียกอย่างแรกว่า “อริยสงฆ์” อย่างหลังว่า “สมมติสงฆ์”
(๒) “สาวก”
บาลีอ่านว่า สา-วะ-กะ รากศัพท์มาจาก สุ (ธาตุ = ฟัง) + ณฺวุ ปัจจัย, แผลง อุ ที่ สุ เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (สุ > โส > สว), ทีฆะ อะ ที่ ส-(ว) เป็น อา ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ (สว > สาว), แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ)
: สุ > โส > สว + ณฺวุ > อก : สว + อก = สวก > สาวก แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ฟังคำของครู” หมายถึง ผู้ฟัง, สาวก (a hearer, disciple)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สาวก : (คำนาม) ศิษย์ของศาสดา. (ป.; ส. ศฺราวก).”
สงฆ์ + สาวก = สงฆ์สาวก เป็นคำประสมแบบไทย แปลความจากหน้าไปหลังว่า “ภิกษุสงฆ์ที่มีคุณธรรมในระดับควรเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า”
ขยายความ :
“สงฆ์สาวก” อาจพูดกลับกันเป็น “สาวกสงฆ์” ก็ได้ ถ้าเป็น “สาวกสงฆ์” ก็จะตรงกับคำในสังฆคุณที่ว่า “สาวกสงฺโฆ” = สาวกสงฆ์ แปลว่า “หมู่แห่งสาวก”
คำว่า “สาวกสงฆ์” อ่านตามหลักภาษาว่า สา-วะ-กะ-สง
“หมู่แห่งสาวก” หรือ “สาวกสงฆ์” ในพระพุทธศาสนา หมายถึง พระอริยบุคคล 8 จำพวก คือ –
1 ผู้บรรลุโสดาปัตติมรรค
2 ผู้บรรลุโสดาปัตติผล
3 ผู้บรรลุสกทาคามิมรรค
4 ผู้บรรลุสกทาคามิผล
5 ผู้บรรลุอนาคามิมรรค
6 ผู้บรรลุอนาคามิผล
7 ผู้บรรลุอรหัตมรรค
8 ผู้บรรลุอรหัตผล
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าจะเป็นสงฆ์สาวก
อย่าเล่นตลกกับพระธรรมวินัย
: ถ้าจะเป็นสาวกสงฆ์
ต้องซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย
#บาลีวันละคำ (4,828)
31-8-68
…………………………….
…………………………….
