พุทธประวัติ (บาลีวันละคำ 4,831)

พุทธประวัติ
หญ้าปากคอกอีกคำหนึ่ง
อ่านว่า พุด-ทะ-ปฺระ-หฺวัด
ประกอบด้วยคำว่า พุทธ + ประวัติ
(๑) “พุทธ”
บาลีเขียน “พุทฺธ” (มีจุดใต้ ทฺ) อ่านว่า พุด-ทะ รากศัพท์มาจาก พุธฺ (ธาตุ = รู้) + ต ปัจจัย, แปลง ธฺ ที่สุดธาตุเป็น ทฺ, แปลง ต เป็น ธฺ (นัยหนึ่งว่า แปลง ธฺ ที่สุดธาตุกับ ต เป็น ทฺธ)
: พุธฺ + ต = พุธฺต > พุทฺต > พุทฺธ (พุธฺ + ต = พุธฺต > พุทฺธ) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้รู้ทุกอย่างที่ควรรู้”
“พุทฺธ” แปลตามศัพท์ได้หลายนัย ดังนี้ –
(1) สพฺพํ พุทฺธวาติ พุทฺโธ = ผู้ทรงรู้ทุกอย่างที่ควรรู้
(2) ปารมิตาปริภาวิตาย ปญญาย สพฺพมฺปิ เญยฺยํ อพุชฺฌีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงรู้เญยธรรมทั้งปวงด้วยพระปัญญาที่ทรงสั่งสมอบรมมาแล้วเต็มเปี่ยม
(3) พุชฺฌิตา สจุจานีติ พุทฺโธ = ผู้ตรัสรู้สัจธรรม
(4) โพเธตา ปชายาติ พุทฺโธ = ผู้ทรงยังหมู่สัตว์ให้รู้ตาม
(5) สพฺพญฺญุตาย พุทฺโธ = ผู้ทรงรู้ธรรมทุกอย่าง
(6) สพฺพทสฺสาวิตาย พุทฺโธ = ผู้ทรงเห็นแจ้งธรรมทุกอย่าง
(7) อภิญฺเญยฺยตาย พุทฺโธ = ผู้ทรงรู้ยิ่ง
(8 ) วิสวิตาย พุทฺโธ = ผู้ทรงทำพระนิพพานให้แจ้ง
(9) ขีณาสวสงฺขาเตน พุทฺโธ = ผู้ทรงสิ้นอาสวกิเลส
(10) นิรุปกฺกิเลสสงฺขาเตน พุทฺโธ = ผู้ทรงปราศจากอุปกิเลส
(11) เอกนฺตวีตราคโทสโมโหติ พุทฺโธ = ผู้ทรงปราศจากราคะ โทสะ โมหะโดยส่วนเดียว
(12) เอกนฺตนิกฺกิเลโสติ พุทฺโธ = ผู้ทรงสิ้นกิเลสแล้วโดยส่วนเดียว
(13) เอโก อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโรติ พุทฺโธ = ผู้ตรัสรูพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณลำพังพระองค์เดียว
(14) อพุทฺธิวหตฺตา พุทฺธิปฏิลาภตฺตา พุทฺโธ = ผู้ทรงกำจัดอวิชชาและทรงได้วิชชา
(15) สวาสนสมฺโมหนิทฺทาย พุชฺฌติ ปพุชฺฌติ ปพุชฺฌนํ กโรตีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงตื่น ทรงปลุก ทรงทำให้ตื่นตัวจากความหลับไหลด้วยอำนาจสัมโมหะพร้อมทั้งวาสนา
(16) พุชฺฌติ วิกสติ พุชฺฌนํ วิกสนํ กโรตีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงเบิกบาน แจ่มใส ทรงทำความเบิกบานแจ่มใส
(17) เทฺว วฏฺฏมูลานิ ขนฺธสนฺตานโต สยเมว อุทฺธรตีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงเพิกถอนรากเหง้าแห่งวัฏฏะทั้งสองจากขันธสันดานได้ด้วยพระองค์เอง
(18) เทว อตฺเถ อุทฺธริตฺวา ธาเรตีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงยกประโยชน์สองประการขึ้นไว้
(19) พาลสงขาเต ปุถุชฺชเน วฏฺฏทุกฺขโต อุทฺธรติ อุทฺธรณํ กโรตีติ พุทฺโธ = ผู้ทรงยกปุถุชนคนพาลขึ้นจากวัฏทุกข์
“พุทฺธ” ตามที่เข้าใจกันทั่วไปมักแปลว่า –
(1) ผู้รู้ = รู้สรรพสิ่งตามความเป็นจริง
(2) ผู้ตื่น = ตื่นจากกิเลสนิทรา ความหลับไหลงมงาย
(3) ผู้เบิกบาน = บริสุทธิ์ผ่องใสเต็มที่
ความหมายที่เข้าใจกันเป็นสามัญ หมายถึง “พระพุทธเจ้า”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “พุทฺธ” ว่า –
one who has attained enlightenment; a man superior to all other beings, human & divine, by his knowledge of the truth, a Buddha (ผู้ตรัสรู้, ผู้ดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอื่นๆ รวมทั้งมนุษย์และเทพยดาด้วยความรู้ในสัจธรรมของพระองค์, พระพุทธเจ้า)
“พุทฺธ” เขียนแบบไทยเป็น “พุทธ” (ไม่มีจุดใต้ ท)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“พุทธ, พุทธ-, พุทธะ : (คำนาม) ผู้ตรัสรู้, ผู้ตื่นแล้ว, ผู้เบิกบานแล้ว, ใช้เฉพาะเป็นพระนามของพระบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา เรียกเป็นสามัญว่า พระพุทธเจ้า. (ป.).”
…………..
สังเกตวิธีสะกดของพจนานุกรมฯ :
“พุทธ” คำเดียว แต่พจนานุกรมฯ ตั้งคำสะกดไว้ 3 แบบ หมายความว่าอย่างไร?
1- “พุทธ” สะกดแบบนี้ในกรณีที่ใช้คำเดียว หรืออยู่ท้ายคำ อ่านว่า พุด เช่น “คำว่าพุทธ” “ชาวพุทธ”
2- “พุทธ-” (มีขีดหลัง ธ-) สะกดแบบนี้หมายถึงกรณีมีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย อ่านว่า พุด-ทะ- ต่อด้วยคำที่มาสมาส เช่น “พุทธศาสนา” อ่านว่า พุด-ทะ-สาด-สะ-หฺนา (ไม่ใช่ พุด-สาด-สะ-หฺนา)
3-“พุทธะ” (มีสระ อะ หลัง ธ) สะกดแบบนี้ในกรณีที่ต้องการให้อ่านว่า พุด-ทะ และไม่มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย (ถ้ามีคำอื่นมาสมาสข้างท้ายก็เป็นไปตามข้อ 2- คือต้องไม่มีสระ อะ เช่น “พุทธศาสนา” จะเขียนเป็น เช่น “พุทธะศาสนา” ไม่ได้)
(๒) “ประวัติ”
บาลีเป็น “ปวตฺติ” อ่านว่า ปะ-วัด-ติ (โปรดสังเกตว่า บาลีอ่านว่า -วัด- ไม่ใช่ -หฺวัด-) รากศัพท์มาจาก ป (คำอุปสรรค = ทั่ว, ข้างหน้า, ก่อน, ออก) + วตฺ (ธาตุ = เป็นไป) + ติ ปัจจัย
: ป + วตฺ = ปวตฺ + ติ = ปวตฺติ แปลตามศัพท์ว่า “ความเป็นไปทั่วไป” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้น, เหตุการณ์, ข่าว, ความเป็นไป (happening, incident, news)
“ปวตฺติ” ใช้ในภาษาไทยว่า “ประวัติ” อ่านว่า ปฺระ-หฺวัด
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ประวัติ, ประวัติ– : (คำนาม) เรื่องราวว่าด้วยความเป็นไปของคน สถานที่ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ประวัติศรีปราชญ์ ประวัติวัดมหาธาตุ. (ป. ปวตฺติ).”
ถ้าเขียนแบบบาลี พุทฺธ + ปวตฺติ ซ้อน ปฺ
: พุทฺธ + ปฺ + ปวตฺติ = พุทฺธปฺปวตฺติ (พุด-ทับ-ปะ-วัด-ติ) > พุทธประวัติ (พุด-ทะ-ปฺระ-หฺวัด) แปลว่า “ประวัติของพระพุทธเจ้า”
ขยายความ :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายคำว่า “พุทธประวัติ” ไว้ดังนี้ –
(ปรับวรรคตอนเพื่อให้อ่านง่าย)
…………..
พุทธประวัติ : ประวัติของพระพุทธเจ้า; ลำดับกาลในพุทธประวัติตามที่ท่านแบ่งไว้ในอรรถกถา จัดได้เป็น ๓ ช่วงใหญ่ คือ
๑. ทูเรนิทาน เรื่องราวตั้งแต่เริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติในอดีต จนถึงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต
๒. อวิทูเรนิทาน เรื่องราวตั้งแต่จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต จนถึงตรัสรู้
๓. สันติเกนิทาน เรื่องราวตั้งแต่ตรัสรู้แล้ว จนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ในส่วนของสันติเกนิทานนั้น ก็คือ โพธิกาล อันได้แก่ระยะเวลานับแต่ตรัสรู้ไปจนสิ้นสุดพุทธกิจที่สืบเนื่องจากการตรัสรู้นั้น
โพธิกาล นั้น แยกย่อยเป็น ๓ ช่วง ได้แก่
๑. ปฐมโพธิกาล คือเวลาช่วงต้นแต่ตรัสรู้
๒. มัชฌิมโพธิกาล คือเวลาช่วงกลางแต่ตรัสรู้
๓. ปัจฉิมโพธิกาล คือเวลาช่วงปลายแต่ตรัสรู้
ตามหนังสือแบบเรียนนักธรรมกำหนดช่วงเวลาแห่ง โพธิกาล ๓ นั้น ได้แก่
๑. ปฐมโพธิกาล คือต่อแต่ตรัสรู้จนถึงได้พระอัครสาวก
๒. มัชฌิมโพธิกาล คือตั้งแต่ประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธ จนถึงปลงพระชนมายุสังขาร
๓. ปัจฉิมโพธิกาล คือตั้งแต่ปลงพระชนมายุสังขาร จนถึงปรินิพพาน;
นอกจากนั้น ท่านกล่าวถึงเรื่องราวที่เป็นมาในชมพูทวีป ก่อนถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเรียกเวลาช่วงนี้ว่า ปุริมกาล กับทั้งเล่าเหตุการณ์หลังพุทธปรินิพพานเช่น การถวายพระเพลิง และสังคายนา โดยเรียกเวลาช่วงนี้ว่า อปรกาล
โดยทั่วไปของอรรถกถา (เช่น วินย.๑/๑๒๔; ม.อ.๒/๗๓) กล่าวถึง ปฐมโพธิกาล เป็นสำคัญ ว่าเป็นระยะเวลา ๒๐ ปีแรกแห่งพุทธกิจ ที่ยังมิได้ทรงมีพระนิพัทธุปัฏฐาก คือพระอุปัฏฐากประจำ (ต่อแต่นี้จึงมีพระอานนท์เป็นพระพุทธอุปัฏฐากประจำ),
ยังมิได้ประทับอยู่ประจำที่ แต่เสด็จจาริกและทรงเปลี่ยนที่จำพรรษาไปเรื่อยๆ (ใน ๒๕ พรรษาต่อจากนี้ ประทับประจำ ณ เมืองสาวัตถีที่พระเชตวันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และบุพพารามของวิสาขามหาอุบาสิกา),
ยังไม่ได้ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่าภิกษุ ยังไม่มีการสวดอาณาปาติโมกข์ แต่ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ด้วยพระองค์เองตลอด ๒๐ ปีนั้น (ต่อจากนี้ ทรงบัญญัติสิกขาบท พระองค์ทรงเลิกแสดงโอวาทปาติโมกข์ แต่ทรงให้เหล่าภิกษุสวดอาณาปาติโมกข์สืบมา),
ยังไม่ได้ทรงบัญญัติให้ภิกษุทั้งหลายต้องจำพรรษา (ต่อแต่นี้เหล่าภิกษุต้องอยู่ประจำที่ในฤดูฝน),
ยังไม่ได้ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายกล่าวอนุโมทนาในหอฉันเป็นต้น (ต่อแต่นี้จึงมีพุทธานุญาตในเรื่องนี้) อย่างนี้เป็นต้น
ต่อจาก ๒๐ ปีนี้จึงเป็น มัชฌิมโพธิกาล และ ปัจฉิมโพธิกาล โดยไม่ระบุระยะเวลาของ ๒ โพธิกาลนั้น
มีคัมภีร์รุ่นต่อมาบอกให้ชัดขึ้น แต่ยังมีมติแตกต่างกันบ้าง เช่น ฎีกาสารัตถทีปนีบอกว่า พระอาจารย์ธรรมบาลจัดแบ่ง ๓ ช่วงเท่ากัน ช่วงละ ๑๕ พรรษา รวมเป็น ๔๕ พรรษา (วินย.ฏี.๑/๖๙๒) และมีอรรถกถาหนึ่งสรุปให้ว่า จะนับ ๓ ช่วง ช่วงละ ๑๕ ปีเท่ากัน ครบ ๔๕ พรรษาพอดีก็ได้ แต่บางแห่งนับ ๒๐ พรรษาแรกเป็นปฐมโพธิกาล ก็นับ ๑๕ ปีต่อมาเป็นมัชฌิมโพธิกาล และ ๑๐ ปีสุดท้ายเป็นปัจฉิมโพธิกาล (มิลินท.อ.๑/๓๙๘)
…………..
ดูก่อนภราดา!
: พระพุทธองค์ทรงชี้ทางดำเนินสู่ความสำเร็จ
: พระองค์ไม่เคยบันดาลความสำเร็จให้ใคร
#บาลีวันละคำ (4,831)
3-9-68
…………………………….
…………………………….
