อสุรกาย – 1 ในอบายภูมิ (บาลีวันละคำ 3,498)
อสุรกาย – 1 ในอบายภูมิ
บางคนเป็นเมื่อตาย
บางคนเป็นตั้งแต่ยังเป็นๆ
อ่านว่า อะ-สุ-ระ-กาย
แยกศัพท์เป็น อสุร + กาย
(๑) “อสุร”
บาลีอ่านว่า อะ-สุ-ระ รากศัพท์มาจาก –
(1) น (ไม่, ไม่ใช่) + สุรฺ (ธาตุ = สนุกสนาน; รุ่งเรือง) + อ (อะ) ปัจจัย, แปลง น เป็น อ
: น > อ + สุรฺ = อสุร + อ = อสุร แปลตามศัพท์ว่า (1) “ผู้ไม่สนุกสนานเหมือนพวกเทวดา” (2) “ผู้ไม่รุ่งเรืองเหมือนพวกเทวดา”
(2) ) อสุ (ลมหายใจ) + ร ปัจจัย
: อสุ + ร = อสุร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยังมีลมหายใจ” (คือรอดตายจากการถูกพวกเทวดาจับโยนลงมาจากสวรรค์)
(3) น (ไม่) + สุรา (น้ำเมา, เหล้า), แปลง น เป็น อ , “ลบสระหน้า” คือ อา ที่ (สุ)-รา (สุรา > สุร)
: น > อ + สุรา = อสุรา > อสุร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไม่ดื่มสุรา” (ตามเรื่องว่า อมนุษย์พวกนี้เดิมอยู่บนสวรรค์ ถูกเทวดามอมสุราแล้วขับตกสวรรค์ เมื่อรู้สึกตัวจึงร้องบอกกันว่า “น สุรํ ปิวิมฺหา น สุรํ ปิวิมฺหา = พวกเราไม่ดื่มสุราแล้ว พวกเราไม่ดื่มสุราแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาจึงได้นามว่า “อสุร”)
“อสุร” (ปุงลิงค์) หมายถึง เทพที่ตกต่ำ, อสูร; อมนุษย์พวกหนึ่งที่ปรากฏในเทพนิยาย (a fallen angel, a Titan; a class of mythological beings)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อสุร– : (คำนาม) อมนุษย์พวกหนึ่งเป็นศัตรูต่อเทวดา, แทตย์, ยักษ์, มาร, ผี. (ป., ส. อสุร).”
“อสุร” มักใช้ในภาษาไทยเป็น “อสูร” (อะ-สูน)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อสูร : (คำนาม) ยักษ์, ในบทกลอนใช้ว่า อสุรา อสุรี หรือ อสุเรศ ก็มี. (ป. อสุร).”
(๒) “กาย”
บาลีอ่านว่า กา-ยะ รากศัพท์มาจาก –
(1) กุ (สิ่งที่น่ารังเกียจ, สิ่งที่น่าเกลียด) + อาย (ที่มา, ที่เกิดขึ้น), “ลบสระหน้า” คือ อุ ที่ กุ (กุ > ก)
: กุ > ก + อาย = กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เกิดขึ้นของสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งหลาย”
(2) ก (อวัยวะ) + อายฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป), + อ ปัจจัย
: ก + อายฺ = กายฺ + อ = กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่เป็นไปแห่งอวัยวะทั้งหลาย”
(3) กาย (ร่างกาย) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: กาย + ณ = กายณ > กาย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เกิดขึ้นแห่งส่วนย่อยทั้งหลายเหมือนร่างกาย” (คือร่างกายเป็นที่รวมแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ฉันใด “สิ่งนั้น” ก็เป็นที่รวมอยู่แห่งส่วนย่อยทั้งหลายฉันนั้น)
“กาย” (ปุงลิงค์) หมายถึง ร่างกาย; กลุ่ม, กอง, จำนวนที่รวมกัน, การรวมเข้าด้วยกัน, ที่ชุมนุม (body; group, heap, collection, aggregate, assembly)
อสุร + กาย = อสุรกาย แปลว่า “กลุ่มของอสุระ” หมายถึง กายหรือหมู่อสูร (the body or assembly of the asuras)
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปล “อสุรกาย” เป็นอังกฤษว่า
Asurakāya : the plane of Asura demons; demons.
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ว่า –
“อสุรกาย : ‘พวกอสูร’ ภพแห่งสัตว์เกิดในอบายพวกหนึ่ง เป็นพวกมักหวาดสะดุ้ง ไร้ความรื่นเริง (ข้อ 4 ในอบาย 4).”
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อสุรกาย : (คำนาม) สัตว์เกิดในอบายภูมิพวกหนึ่ง เชื่อกันว่าชอบเที่ยวหลอกหลอนคน, คู่กับ เปรต. (ป.).”
ขยายความ :
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มีคำว่า “อบาย” และ “อบายภูมิ” บอกไว้ว่า –
…………..
อบาย, อบายภูมิ : ภูมิกำเนิดที่ปราศจากความเจริญ มี ๔ อย่าง คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ๓. ปิตติวิสัย ภูมิแห่งเปรต ๔. อสุรกาย พวกอสุรกาย; ดู คติ, ทุคติ.
…………..
ตามไปดูที่คำว่า “คติ” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ดังนี้ –
…………..
คติ : 1. การไป, ทางไป, ความเป็นไป, ทางดำเนิน, วิธี, แนวทาง, แบบอย่าง 2. ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, แบบการดำเนินชีวิต มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ๓. เปตติวิสัย แดนเปรต ๔. มนุษย์ สัตว์มีใจสูงรู้คิดเหตุผล ๕. เทพ ชาวสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึง อกนิษฐพรหม; ใช้คำเรียกเป็นชุดว่า: นิรยคติ ติรัจฉานคติ เปตคติ มนุษยคติ เทวคติ, ๓ คติแรกเป็น ทุคติ (ที่ไปเกิดอันชั่ว หรือแบบดำเนินชีวิตที่ไม่ดี) ๒ คติหลังเป็น สุคติ (ที่ไปเกิดอันดี หรือแบบดำเนินชีวิตที่ดี)
สำหรับทุคติ ๓ มีข้อสังเกตว่า บางทีเรียกว่า อบาย หรืออบายภูมิ แต่อบายภูมินั้นมี ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน, อรรถกถากล่าวว่า (อุ.อ.๑๔๕; อิติ.อ.๑๔๕) การที่มีจำนวนไม่เท่ากัน ก็เพราะรวมอสุรกาย เข้าในเปตติวิสัยด้วย จึงเป็นทุคติ ๓; ดู อบาย
คติ ๕ นี้ เมื่อจัดเข้าใน ภพ ๓ พึงทราบว่า ๔ คติแรกเป็นกามภพทั้งหมด ส่วนคติที่ ๕ คือ เทพ มีทั้งกามภพ รูปภพ และอรูปภพ (เทพนั้น แบ่งออกไปเป็น ก.เทวดาในสวรรค์ ๖ ชั้น อยู่ในกามภพ ข.รูปพรหม ๑๖ ชั้น อยู่ในรูปภพ และ ค.อรูปพรหม ๔ ชั้น อยู่ในอรูปภพ); เทียบ ภพ
เมื่อจัดเข้าใน ภูมิ ๔ พึงทราบว่า ๔ คติแรกเป็นกามาวจรภูมิทั้งหมด ส่วนคติที่ ๕ คือ เทพ มีทั้งกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ และอรูปาวจรภูมิ (ทำนองเดียวกับที่กล่าวแล้วใน ภพ ๓) แต่มีข้อพิเศษว่า ภูมิสูงสุด คือภูมิที่ ๔ อันได้แก่ โลกุตตรภูมินั้น แม้ว่าพวกเทพจะอาจเข้าถึงได้ แต่มนุษยคติเป็นวิสัยที่มีโอกาสลุถึงได้ดีที่สุด; เทียบ ภูมิ
…………..
ตามไปดูที่คำว่า “ทุคติ” พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกไว้ดังนี้ –
…………..
ทุคติ : คติไม่ดี, ทางดำเนินที่ไม่ดีมีความเดือดร้อน, ที่ไปเกิดอันชั่ว หรือที่ไปเกิดของผู้ทำกรรมชั่ว, แดนกำเนิดที่ไม่ดีมากไปด้วยความทุกข์ มี ๓ ได้แก่ นรก ดิรัจฉาน เปรต; คติที่ไม่ดี คือ ทุคติ ๓ นี้ ตรงข้ามกับคติที่ดี คือ สุคติ ๒ (มนุษย์ และ เทพ) รวมทั้งหมดเป็น คติ ๕
ที่ไปเกิดหรือแดนกำเนิดไม่ดีนี้ บางทีเรียกว่า อบาย หรืออบายภูมิ (แปลว่า แดนซึ่งปราศจากความเจริญ) แต่อบายภูมินั้นมี ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน, เหตุให้จำนวนไม่เท่ากันนั้น มีคำอธิบาย ดังที่อรรถกถาบางแห่งกล่าวไว้ว่า (อุ.อ.๑๔๕; อิติ.อ.๑๔๕) ในกรณีนี้ รวมอสุรกาย เข้าในจำพวกเปรตด้วย จึงเป็นทุคติ ๓; ตรงข้ามกับ สุคติ;
อนึ่ง ในความหมายที่ลึกลงไป ถือว่านรก เปรต จนถึงติรัจฉาน ที่เป็นทุคติก็โดยเทียบว่ามีทุกข์เดือดร้อนกว่าเทวะและมนุษย์ แต่กำเนิดหรือแดนเกิดทั้งหมดทั้งสิ้น แม้แต่ที่เรียกว่าสุคตินั้น ไม่ว่าจะเป็นเทวดา หรือพรหมชั้นใดๆ ก็เป็นทุคติ ทั้งนั้น (เนตฺติ.๖๑/๔๕; ๑๐๖/๑๐๕) เมื่อเทียบกับนิพพาน เพราะคติเหล่านั้นยังประกอบด้วยทุกข์ หรือเป็นคติของผู้ที่ยังมีทุกข์
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ทำตัวเลวร้าย เป็นอสุรกายในชาตินี้
: ถ้ายังทำตัวไม่ดี เป็นอสุรกายทุกภพทุกชาติ
#บาลีวันละคำ (3,498)
9-1-65
…………………………….