บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

เอกอัครมหาบัณฑิตในอนาคต

เอกอัครมหาบัณฑิตในอนาคต

——————–

เมื่อวันมาฆบูชา ผมไปทำกิจพระศาสนาที่วัดเป็นกรณีพิเศษ และตอนค่ำมีกิจกรรมประทักษิณพระมหาธาตุ

คำว่า “ประทักษิณ” สำนวนบาลีใช้คำว่า “ปทกฺขิณํ กตฺวาทำประทักษิณ” 

พูดเต็มรูปว่า ติกฺขตฺตุํ ปทกฺขิณํ กตฺวาทำประทักษิณ ๓ รอบ

การทำประทักษิณก็คือการเดินเวียนรอบบุคคลหรือพระสถูปเจดีย์ปูชนียวัตถุสถาน 

การทำประทักษิณเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวชมพูทวีป นิยมกระทำเมื่อจะลากลับ กล่าวคือเมื่อเสร็จธุระแล้วก็เดินเวียนรอบบุคคลหรือสถานที่นั้นๆ ๓ รอบแล้วจึงไป

เวลาเดิน ต้องหันด้านขวาของตนเข้าหาบุคคลหรือสถานที่นั้นๆ

คำว่า “ขวา” (right side) ภาษาบาลีว่า “ทกฺขิณ” หรือที่เราเรียกว่า “ทักษิณ

การเดินเวียนขวา จึงเรียกว่า “ทำประทักษิณ” 

คำว่า “ทักษิณ” นี้นอกจากแปลว่า ด้านขวา แล้ว ยังหมายถึง “ทิศใต้” ด้วย เนื่องมาจากเวลาดูทิศ มนุษย์จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านมือขวาจึงอยู่ทางทิศใต้

ในบาลี คำว่า “ปทกฺขิณ” ใช้เป็นสำนวนหมายถึง ถนัด ชำนิชำนาญ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความตั้งใจ หรือทำด้วยความเคารพ 

ความหมายนี้ติดมาในวัฒนธรรมไทยด้วย เช่นเวลารับของจากผู้ใหญ่ ต้องรับด้วยมือขวา แสดงถึงความเคารพ ถ้ารับด้วยมือซ้าย ถือว่าเสียกิริยา

ว่ากันตามนี้ คนชื่อ “ทักษิณ” ต้องนับว่ามีทุนแข็ง 

ใช้ทำความดี ก็ทำได้อย่างสูงสุด 

ถ้าใช้คำความชั่ว ก็ทำได้สุดๆ เหมือนกัน

การทำประทักษิณ หรือเดินเวียนขวา คนไทยมักเรียกกันว่า “เวียนเทียน” 

คนที่รู้เรื่องดีนิยมพูดว่า “เดินเทียน” คงจะตัดลัดมาจากกิริยาเดินถือเทียนเวียนรอบ

———————

การเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่นวันมาฆบูชาเป็นต้นนี้ ที่วัดมหาธาตุราชบุรีมีนิยมสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยก่อน 

บทที่สวดก็คือ 

– คำนมัสการพระรัตนตรัย (อรหัง สัมมา…), 

– นะโม, 

– อิติปิ โส, องค์ใดพระสัมพุทธ, 

– สวากขาโต, ธรรมะคือคุณากร, 

– สุปฏิปันโน, สงฆ์ใดสาวกศาสดา, 

– พาหุง, ปางเมื่อพระองค์ปรมพุทธ 

ตัวบทเต็มๆ เหล่านี้มีแพร่หลายอยู่แล้ว

และเป็นธรรมเนียมอีกเหมือนกันที่จะต้องมีการแจกบทสวดให้แก่ผู้มาร่วมในพิธี

เพราะฉะนั้น ภาพที่ออกมาก็คือ ทุกคนยืนกางบทสวดแล้วก็ “อ่าน” ไปตามบทนั้นกันโดยทั่วถ้วน

———————

ประเด็นของผมอยู่ที่ต้องมีบทสวดนี่แหละ

ขอเรียนว่า ผมไม่เคยสวดมนต์โดยต้องกางแบบ

ไม่ใช่เก่ง แต่หลักของผมคือ –

๑ การอ่านจากหนังสือ ไม่ใช่ “สวดมนต์”

๒ สวดมนต์คือเปล่งวาจาออกมาจากความทรงจำ ไม่ใช่อ่านจากหนังสือ

๓ บทไหนสวดไม่ได้ ก็ฟังคนอื่นสวด (ฟังเขาสวด เราก็ได้บุญ)

๔ ถ้าอยากสวดได้เอง ก็ท่องให้จำได้

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า อสชฺฌายมลา  มนฺตา 

(อัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๓/๑๐๕; มลวรรค ธรรมบท ๒๕/๒๘)

แปลตามศัพท์ว่า มนต์ทั้งหลายมีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน

แปลตามภาษาสมัยใหม่ว่า ไม่ท่องบ่น มนต์ก็ขึ้นสนิม

เป็นการยืนยันว่า มนต์นั้นต้องท่อง ไม่ใช่กางหนังสืออ่าน

——————–

พระสมัยก่อนจะต้องท่องสวดมนต์ได้จบเล่ม 

หนังสือสวดมนต์สมัยโน้นเรียกกันว่า “เจ็ดตำนาน”

มีคำกล่าวประณามพระที่ขี้เกียจท่องสวดมนต์ว่า “ขี้เต็มถานเจ็ดตำนานไม่จบ

ผู้ชายคนไหนบวชพรรษาหนึ่ง ท่องเจ็ดตำนานไม่จบ ถือว่าเป็นบุคคลล้มละลายทางสังคม แม้สึกไปแล้วก็ยังถูกประณาม ไปขอลูกสาวใครก็แทบจะไม่มีใครอยากยกให้ เพราะเป็นคนมีตำหนิ

สมัยก่อน พระภิกษุสามเณรลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น ไปมือเปล่า 

องค์ที่ยังสวดไม่ได้แอบเอาหนังสือสวดมนต์ซุกในจีวรเข้าไป ต้องนั่งแถวหลัง แอบเปิดหนังสือสวดไม่ให้หลวงพ่อเห็น 

เป็นกิริยาที่ไม่มีใครสรรเสริญ

สมัยนี้ พระภิกษุสามเณรลงโบสถ์ทำวัตรเช้า-เย็น ถือหนังสือสวดมนต์ไปด้วย กลายเป็นของดี แสดงถึงความเอาใจใส่ทำกิจของสงฆ์

องค์ที่ไม่ถือหนังสือสวดมนต์ดูกลับจะเสียหายมาก เหมือนกับว่าไม่ได้ไปสวดมนต์เอาทีเดียว

โลกกลับตาลปัตร

สภาพเช่นนี้ลามไปถึงชาวบ้านด้วย 

คนสมัยนี้ถ้าพูดว่า “สวดมนต์” ก็จะนึกถึงภาพคนนั่งกางหนังสืออ่าน 

เมื่อไม่มีกี่วันมานี้มีภาพเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก เป็นภาพสุภาพสตรีท่านหนึ่งนั่งพับเพียบกลางถนนข้างหน้าแถวตำรวจที่ถือโล่กั้น 

ในมือของเธอถือหนังสือหรือแผ่นกระดาษ ซึ่งคงจะเป็นบทสวดมนต์ 

มีคำบรรยายว่าเธอกำลังสวดมนต์

หนังสือหรือแผ่นกระดาษพิมพ์บทสวด กลายเป็นสัญลักษณ์ของการสวดมนต์ไป

ถ้าไม่ถือหนังสือด้วย ก็แทบจะไม่รู้ว่ากำลังสวดมนต์

โลกกลับตาลปัตร

——————

ผมเคยเสนอแนะว่า ไหนๆ ก็มีศรัทธาจะสวดมนต์กันทั้งที ทำไมไม่ลองหัดท่องจำบทสวดมนต์ให้ได้ 

สำหรับผู้สูงวัย ความจำไม่ค่อยดี ไม่ต้องมากหรอก ท่องวันละบรรทัดก็พอ 

ท่องไปเรื่อยๆ เท่ากับได้ปฏิบัติธรรมแบบหนึ่ง คือประคองจิตให้เป็นกุศลอยู่กับคำพระ

จะไปจบไปคล่องเอาสักกี่เดือนกี่ปีก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้เร่งรัดเอาไปสวดประกวดกับใครที่ไหน 

ทำไปอย่างนี้ สักวันหนึ่งเราก็จะเป็นอิสระ ไม่ต้องพึ่งหนังสือสวดมนต์ในเวลาสวดอีกต่อไป 

คำเสนอแนะนี้ไม่มีใครทำตาม 

ทุกคนมีความสุขที่จะกางหนังสือสวดกันไปตลอดชีวิต 

แต่ไม่มีความสุขที่จะท่องจำ 

โดยเหตุผลที่ฟังแล้วเป็นอมตะดี คือ –

แค่กางหนังสือสวดนี่ก็บุญแล้ว จะเอาอะไรกันนักหนา

เวลานี้ยังดีที่ว่า ถึงจะต้องกางหนังสือสวด แต่ถ้อยคำบางวรรคบางตอนของบทสวดมนต์ก็ยังพอมีติดค้างอยู่ในความทรงจำได้บ้าง 

แต่ในอนาคต บทสวดมนต์ทั้งหลายคงจะไม่ตกค้างอยู่ในสมองเลยแม้แต่คำเดียว 

ทุกคำทุกบทคงจะฝากไว้ในหนังสือสวดมนต์ทั้งสิ้น 

ถึงเวลาอยากได้บุญหรือจะทำพิธีอะไรกันสักที จึงค่อยเปิดหนังสือสวดกันตามอัธยาศัย

——————

เป็นอันว่า ค่านิยมทุกวันนี้คือ กางหนังสือสวดมนต์ดีกว่าเสียเวลาท่องจำ

ในอนาคตอันไม่ไกลนักนี้ ตามวัดวาอารามต่างๆ อาจจะมีหนังสือสวดมนต์ไว้บริการญาติโยมที่ไปไหว้พระหรือไปทำบุญ ทำเป็นแผ่นกระดาษแข็งอัดพลาสติก เช่น ชินบัญชรก็แผ่นหนึ่ง พาหุงก็เป็นแผ่นหนึ่ง ธรรมจักรก็แผ่นหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น วางไว้ตามศาลาหน้าองค์พระ 

ใครมาไหว้พระ อยากจะสวดมนต์บทไหน ก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน 

อ่านจบแล้วก็เอาไปวางไว้ที่เดิม 

ไม่ต้องจำ ไม่ต้องเข้าใจ และไม่ต้องรู้อะไรทั้งสิ้น 

กลับบ้านไปแต่ตัว พร้อมกับความเชื่อว่าตนได้ไปสวดมนต์มาแล้ว และได้บุญเรียบร้อยแล้ว 

ผมเชื่อว่าอีกไม่เกินครึ่งศตวรรษ ภาพเช่นนี้จะปรากฏตามวัดวาอารามต่างๆ ทั่วเมืองไทยอย่างแน่นอน

——————–

มีคำทำนายว่า เมื่อพระศาสนาจะเลื่อม ใครที่ท่องจำพระพุทธพจน์ได้แม้แต่วรรคเดียว เช่น –

อนิจฺจา  วต  สงฺขารา

แค่นี้ ก็จะได้รับความนับถือว่าเป็นเอกอัครมหาบัณฑิตแล้ว

เพราะฉะนั้น ท่องสวดมนต์กันไว้บ้างก็ไม่เสียหลายนะครับ 

ในอนาคตเมืองไทยจะได้มีเอกอัครมหาบัณฑิตไว้ทำยา

พอกู้หน้าความตกต่ำทางด้านอื่นๆ ได้บ้าง

๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้