บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คิดแบบนกแก้วนกขุนทอง

คิดแบบนกแก้วนกขุนทอง

—————————

มีนักคิดพูดกันมากว่า ระบบการศึกษาของไทยที่สอนให้เด็กท่องจำนั้นผิดพลาดอย่างร้ายแรง

เพราะทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น

แยกแยะผิดถูกไม่ได้

พูดง่ายๆ ว่า สอนคนไม่ให้มีความคิด ไม่ให้รู้จักคิด

พูดคำหนักก็ว่าเป็นวิธีที่สอนเด็กให้โง่

เข้าใจว่าแนวคิดนี้คงมาจากฝรั่ง

แบบเดียวกับแนวคิดที่ห้ามครูตีเด็ก

ได้ทราบว่าเดี๋ยวในโรงเรียนไม่ได้ให้เด็กท่องสูตรคูณ หรือท่องอาขยานกันแล้ว

ก็คงมาจากอิทธิพลของแนวคิดนี้ คือการสอนให้ท่องจำเป็นความเลวชนิดหนึ่ง

ผมไม่มีความประสงค์จะโต้เถียงกับท่านนักคิดแนวนั้น

แต่อยากจะชวนให้ลองคิดกันให้ดีๆ

ตั้งหลักกันที่ตัวเราก่อน

เพราะตัวของเราเป็นฐานปฏิบัติการของสรรพสิ่ง

-ในตัวมนุษย์มีอะไรบ้าง ?

พระพุทธศาสนาบอกว่า ภพภูมิที่มนุษย์มาเกิดกันนี้เรียกว่า “ปัญจโวการภพ” (ปัน-จะ-โว-กา-ระ-พบ) แปลว่า ชีวิตที่มีองค์ประกอบ ๕ ส่วน 

คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

อย่าเพิ่งง่วงครับ

ต่อไปนี้เป็นคำขยายความ –

1. รูป : ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย, ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด, สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ (corporeality)

2. เวทนา : ส่วนที่เป็นการเสวยอารมณ์, ความรู้สึกสุข ทุกข์ ชอบ ชัง หรือเฉยๆ (feeling; sensation)

3. สัญญา : ส่วนที่เป็นความจำ, ความกำหนดได้หมายรู้ในสิ่งที่รับสัมผัส เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น (perception)

4. สังขาร : ส่วนที่เป็นความคิดปรุงแต่ง, สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ, คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต (mental formations; volitional activities)

โปรดระวัง “สังขาร” ในที่นี้ ไม่ใช่ “ร่างกาย” อย่างที่มักจะเข้าใจกัน เพราะร่างกายอยู่ในส่วนที่เป็น “รูป” โน่นแล้ว

5. วิญญาณ : ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์, ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6 มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น (consciousness)

“วิญญาณ” นี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่วิญญาณเป็นดวงๆ ที่เข้าใจกันว่าจะออกจากร่างเมื่อตาย

: ข้อมูลจากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต

ในคำอธิบายนี้ คำไหนอ่านไม่เข้าใจก็ผ่านไปก่อน 

ใครถนัดภาษาฝรั่ง จับความหมายเอาจากคำฝรั่งก็ได้

หลักวิชานี้ใครเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่จริง ไม่ใช่ – โดยเฉพาะท่านที่นับถือวิทยาศาสตร์เป็นสรณะ – กรุณาทักท้วงได้

ทีนี้มาดูกันว่า การสอนให้ท่องจำนั้น เราใช้ส่วนไหนของมนุษย์เป็นฐานปฏิบัติการ

คำตอบก็คือ ส่วนที่เป็น “สัญญา” คือ ความจำ

ถอยออกมาอีกหน่อย

ถามว่า มนุษย์เราพอเกิดมาก็จำอะไรได้หมดเลยหรือเปล่า ?

ตอบว่า ไม่ใช่ 

ต้องใช้เวลานานกว่าจะจำอะไรได้ เช่น จำได้ว่าคนนี้เป็นแม่ เป็นพ่อ

ถามว่า เด็กต้องท่องว่า แม่ ๆๆๆๆๆ พ่อๆๆๆๆ จึงจะจำได้ว่าคนนี้แม่ คนนี้พ่อ ใช่ไหม

ตอบว่า ไม่ใช่ 

แต่อาศัยสัมผัส เช่น ตาเห็น หูได้ยินบ่อยๆ เข้าก็จำได้

เอาละ ทีนี้พอโตขึ้น สิ่งที่มนุษย์ได้สัมผัสไม่ใช่มีแต่พ่อแม่ แต่ยังมีอะไรๆ อีกร้อยแปดพันเก้า 

แต่กระบวนการก็จะเหมือนกันหมด คือต้องได้สัมผัส (คือตาดู หูฟัง เป็นต้น) ครั้งแรกก่อน เมื่อได้สัมผัสครั้งต่อไปก็จะจำได้ว่าใครเป็นใคร หรืออะไรเป็นอะไร

แต่สิ่งที่จะต้องได้สัมผัสไม่ใช่ตื้นๆ แค่ตาดูหูฟังอย่างเดียว แต่ยังซับซ้อนขึ้นไปอีก คือต้องมีการเรียกข้อมูลที่เก็บไว้มาใช้ได้เมื่อต้องการ

เช่น ๒ บวก ๒ เคยจำได้ว่าเป็น ๔ – เก็บข้อมูลนี้ไว้

ต่อไปถ้าไปเจอเหตุที่จะต้องเอา ๒ ไปบวก ๒ อีก ก็ต้องเรียกข้อมูลนี้มาเป็นคำตอบ

ความรู้ที่ว่า ๒ บวก ๒ เป็น ๔ นั้นคือ ความจำ หรือ “สัญญา”

อย่าไปเข้าใจผิดว่า เลขง่ายๆ ไม่ต้องจำ เลขซับซ้อนถึงจะต้องจำ

ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขง่ายๆ แบบนี้ หรือที่ซับซ้อนกว่านี้ ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยข้อมูลจากความจำทั้งสิ้น

สรุปไว้ทีก่อนว่า มนุษย์มีส่วนประกอบ หรือเครื่องมือที่จะต้องใช้ในกระบวนการดำรงชีวิตอยู่ ๕ อย่าง

๑ ใน ๕ นั้นคือ สัญญา – ความจำ

ถ้าไม่มี “ความจำ” ก็เป็นมนุษย์ที่บกพร่อง 

คราวนี้มาถึงประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ ทำอย่างไรจึงจะจำได้

ข้างต้นนั้นผมบอกว่า เด็กอาศัยสัมผัสบ่อยๆ เช่น ตาเห็น หูได้ยินบ่อยๆ เข้าก็จำได้ว่าคนนี้แม่ คนนี้พ่อ โดยไม่ต้องท่องว่า แม่ ๆๆๆๆๆ พ่อๆๆๆๆ 

ถามว่า ถ้าเด็กเห็นแม่ครั้งเดียว แล้วไม่ได้เห็นหรือไม่ได้สัมผัสอะไรจากแม่อีกเลย เด็กจะรู้หรือไม่ว่า คนนี้เป็นแม่

ตอบว่า ไม่ได้ เพราะเด็กยังไม่ทันได้บันทึกข้อมูลลงไปใน “สัญญา”

ต่อเมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัสบ่อยๆ อาจจะไม่กี่ครั้งนักก็ได้ เด็กก็จะบันทึกข้อมูลลงไปในสัญญาว่า คนหน้าตาแบบนี้ เสียงแบบนี้ จับต้องด้วยลักษณะอาการอย่างนี้คือแม่ 

จะคือพ่อ หรือคือใคร หรือคืออะไรอีกก็ตาม ใช้กฎอันเดียวกันนี้

ทีนี้ ความสามารถในการจำได้ของมนุษย์แต่ละคนไม่เท่ากัน

บางคนเห็นครั้งเดียว ได้ยินหนเดียว ก็จำได้ และจำได้ไม่ลืม นี่ถือว่าเป็นอัจฉริยะ 

บางคนเห็นครั้งเดียว ได้ยินหนเดียว จำได้เหมือนกัน แต่จำได้พักเดียว ไม่นานก็ลืม

แต่บางคนตรงกันข้าม ร้อยครั้งพันครั้งก็จำไม่ได้เลย นี่ก็ตกขอบอีกข้างหนึ่ง

แต่กระบวนการหรือวิธีการที่เป็นมาตรฐานกลางเพื่อการจำได้ก็คือ การได้สัมผัสบ่อยๆ

การท่องจำเป็นรูปแบบหนึ่งของ “สัมผัสบ่อยๆ”

คำว่า “ท่องจำ” ก็บอกความหมายอยู่ในตัว 

“ท่อง” คือว่าซ้ำๆ เพื่อให้จำได้

ว่าซ้ำๆ ก็คือสัมผัสบ่อยๆ ตามมาตรฐานกลางของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพื่อนำไปสู่การจำได้

ลองอ่านกลอนบทนี้ครับ

————————-

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง

ฉันจึง มาหา ความหมาย

ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย

สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว

————————-

(ขออนุญาตไม่บอกที่มา เพื่อพิสูจน์ว่า

คนที่นึกออกบอกถูก ได้คำตอบมาจากไหน 

ถ้าไม่ใช่ “ความจำ”)

————————-

ถ้านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้อ่าน

อ่านเที่ยวเดียว จบแล้วหลับตา หรือลุกไปที่อื่น 

แล้วพูดกลอนบทนี้ให้เหมือนต้นฉบับ

ถ้าใครทำได้ ถามว่า ท่านใช้อะไรทำ

ถ้าทุกคนสามารถทำได้กับทุกๆ เรื่อง คืออ่านเที่ยวเดียวแล้วจำได้แม่นเหมือนต้นฉบับ และสามารถดึงเอามาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ

ไม่ว่าจะเป็นวิชาการ ภาษา หรือเรื่องประเภทใดก็ตาม

ถ้าอย่างนี้ ระบบท่องจำก็โละลงถังขยะไปได้เลย

แต่มีกี่คนละครับที่จะทำได้ขนาดนั้น

แม้แต่คนที่พูดว่า -ระบบการศึกษาของไทยที่สอนให้เด็กท่องจำนั้นผิดพลาดอย่างร้ายแรง-นั่นเองก็เถอะ

การท่องเป็นเพียงกลวิธีหรือเทคนิคอย่างหนึ่งในการที่จะบันทึกข้อมูลลงไปใน “สัญญา”

เป็นหลักการเดียวกับที่เด็กได้สัมผัสบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่นั่นเอง

ถ้าใครจำได้โดยไม่ต้องท่อง ก็ไม่ต้องท่อง

แต่คนที่ยังจำไม่ได้ – ซึ่งเป็นคนส่วนมาก – จะให้ทำอย่างไร

ตัวอย่างที่ยกมาเป็นเพียงเรื่องของภาษากาพย์กลอน ซึ่งอาจมีผู้แย้งว่า ชีวิตของเขาไม่เห็นจำเป็นจะต้องมานั่งท่องนั่งจำกาพย์กลอนให้เปลืองสมอง คนในโลกที่ไม่ต้องรู้เรื่องภาษากาพย์กลอนอะไรนี่เลย แต่มีชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุข ก็มีอีกเยอะแยะ

แต่ในชีวิตจริง แม้ไม่ต้องจำเรื่องภาษา ก็ต้องจำเรื่องอื่นอีก

โดยเฉพาะในกระบวนการศึกษาเรียนรู้ ไม่ว่าจะในระบบหรือนอกระบบ ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องจำ 

ถ้าไม่ต้องจำอะไร ก็เท่ากับไม่มีอะไรที่จะต้องเรียนนั่นเอง

มิเช่นนั้นธรรมชาติของมนุษย์ในปัญจโวการภพก็คงไม่ต้องมี “สัญญา” เป็น ๑ ในองค์ประกอบชีวิต

หรือใครคิดว่า มนุษย์สามารถดำเนินชีวิตไปได้เป็นปกติสุขโดยไม่ต้องจำอะไรเลย

แต่ที่สำคัญก็คือ กระบวนการที่จะทำให้จำได้ ไม่ว่าจะเป็นการท่อง หรือการได้สัมผัสบ่อยๆ ไม่ได้ไปปิดกั้นหรือกระทบกระเทือนไปถึงเครื่องมือส่วนอื่นๆ ด้วยเลย 

โดยเฉพาะ “สังขาร” ที่เป็นส่วนทำหน้าที่คิดนึกตรึกตรอง แยกแยะผิดถูกชั่วดี คิดเป็น วินิจฉัยเป็น ก็ยังคงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ทุกประการ

ผู้ตั้งข้อกล่าวหาว่าระบบการศึกษาของเราสอนให้เด็กท่องจำอย่างเดียว แล้วก็เลยพากันรังเกียจ จนถึงต่อต้านการท่องจำ ควรจะได้ทบทวนหรือทำความเข้าใจในข้อกล่าวหาของตนให้ชัดเจนว่า ท่านเข้าใจความหมายและขอบเขตของการท่องจำแค่ไหน

การท่องจำเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการศึกษาเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของระบบการศึกษา 

เหมือนกับที่มนุษย์มีองค์ประกอบชีวิตถึง ๕ ส่วน ไม่ใช่มีแต่สัญญา-ความจำอย่างเดียว และแต่ละส่วนไม่ได้ปิดกั้นซึ่งกันและกันแต่อย่างใดเลย

ไม่มีที่ไหนในโลก ที่คนจำอะไรได้มากจะคิดอะไรเองไม่เป็น

และระบบการศึกษาในประเทศไทยก็ไม่เคยสอนให้ผู้เรียนท่องจำอย่างเดียวแล้วบังคับไม่ให้นึกคิดพิจารณาเรื่องที่จำไว้นั้น หรือเรื่องอื่นๆ หรือแม้แต่ห้ามคิดแตกต่างไปจากที่ครูบาอาจารย์สอน

ขอยืนยัน

ตัวผมเองก็ผ่านระบบการศึกษาที่ถูกตำหนิว่า เอาแต่สอนให้ท่องจำ

แต่ผมก็คิดต่างไปจากที่ครูบาอาจารย์เคยสอนมาได้มากมาย

แวดวงหนึ่งที่ถูกยกขึ้นมาตำหนิกล่าวหาในประเด็น-สอนให้มีความจำอย่างเดียว ไม่ได้สอนให้มีความคิด – ก็คือการศึกษาของคณะสงฆ์

ผู้ชอบตำหนิก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ที่ไปจากรั้ววัดนั่นเอง

ชอบกล !

ตัวผู้ที่กำลังคิดต่างนั่นเองก็เป็นผลิตผลของการศึกษาของคณะสงฆ์-ที่ตนตำหนิว่าห้ามคิดต่าง

ก็ชอบกลอีก !!

และที่ชอบกลถึงขนาดก็คือ –

ความคิดที่ว่า “ระบบการศึกษาของไทยที่สอนให้เด็กท่องจำนั้นผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น” นี้ ก็หาใช่ความคิดของตัวเองไม่ 

แต่ไปจำ “กากความคิด” ของคนอื่นมาอีกที

ก็เลยไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่คิดเองไม่เป็น ?

๑๙ มีนาคม ๒๕๕๗

—————

ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์

คนเดิน ผ่านไป มากัน เขาด้น ดั้นหา สิ่งใด

ปัญญา มีขาย ที่นี่หรือ จะแย่ง ซื้อได้ ที่ไหน

อย่างที่โก้ หรูหรา ราคา เท่าใด จะให้พ่อ ขายนา มาแลกเอา

ฉันมา ฉันเห็น ฉันแพ้ ยินแต่ เสียงด่า ว่าโง่เง่า

เพลงที่นี่ ไม่หวาน เหมือนบ้านเรา ใครไม่เข้า ถึงพอ เขาเยาะเย้ย

นี่จะให้ อะไร กันบ้างไหม มหาวิทยาลัย ใหญ่ โตเหวย

แม้นท่าน มิอาจให้ อะไรเลย วานนิ่งเฉย อย่าบ่น อย่าโวยวาย

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย

ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว

มืดจริงหนอ สถาบัน อันกว้างขวาง ปล่อยฉัน อ้างว้าง ขับเคี่ยว

เดินหา ซื้อปัญญา จนหน้าเซียว เทียวมา เทียวไป ไม่รู้วัน

ดอกหางนกยูง สีแดงฉาน บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์

เกินพอ ให้เจ้า แบ่งปัน จงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป

กลอนชื่อ : เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน

ผู้แต่ง : วิทยากร เชียงกูล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้