คิดถึงอาจารย์แย้ม

คิดถึงอาจารย์แย้ม
——————-
มหาเปรียญรุ่นใหม่อาจจะไม่เคยได้ยินนาม อาจารย์แย้ม ประพัฒน์ทอง
ท่านอาจารย์แย้มเป็นยอดดีในหลายๆ ด้าน
(๑) ด้านวิชาการ
ท่านเป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค (๒๔๗๗) สำนักวัดภคินีนาถ เชี่ยวชาญภาษาบาลีสุดยอด โดยเฉพาะด้านฉันทลักษณ์
ท่านเป็นอาจารย์ถวายความรู้วิชาภาษาบาลีเมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงศึกษาระดับปริญญามหาบัณฑิต
สมเด็จพระเทพฯ เคยเสด็จบ้านอาจารย์แย้มเป็นการส่วนพระองค์น่าจะหลายครั้ง
ผมเคยเห็นรูปอาจารย์แย้มยืนเฝ้ารับเสด็จที่บ้านของท่าน
ท่านอาจารย์แย้มได้รับพระราชทานปริญญาอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓
ตอนนั้นท่านอายุ ๖๒
ในระหว่างพิธีพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาฯ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้เข้ารับพระราชทานจะต้องยืนเป็นเวลานาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้สมเด็จพระเทพฯ นำกระแสพระราชดำรัสไปแจ้งแก่ท่านอาจารย์แย้มว่า มีพระบรมราชานุญาตให้ท่านอาจารย์นั่งลงได้ ด้วยทรงเห็นว่าท่านมีอายุมากแล้ว
ท่านอาจารย์แย้มกราบทูลสมเด็จพระเทพฯ เป็นภาษาบาลีว่า
“ข้าพระพุทธเจ้า ขมนียํ”
สมเด็จพระเทพฯ ทรงแย้มพระสรวลเสด็จไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จะกราบทูลอย่างไรไม่ทราบ ท่านอาจารย์บอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงแย้มพระสรวลด้วย
เรื่องนี้อาจารย์คงเดช ประพัฒน์ทอง ลูกชายของท่านเป็นผู้เล่าให้ฟัง
“ขมนียํ” แปลว่าอะไร ใครรู้ภาษาบาลีช่วยอธิบายด้วยนะครับ
ตอนเย็นวันรับพระราชทานปริญญาบัตรมีพิธีฉลอง “อย่างเป็นทางการ” ที่วัดสามพระยา นัยว่าเป็นความประสงค์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ที่จะจัดเป็นปฏิการคุณให้แก่ท่านอาจารย์ในฐานะที่ท่านเป็นเสมือนมือขวาในการช่วยภารกิจทางวิชาการให้แก่คณะสงฆ์มาโดยตลอด
พิธีฉลองทำในพระอุโบสถวัดสามพระยา
และสมเด็จพระเทพฯ ก็เสด็จไปร่วมพิธีด้วย
เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ มิใช่เฉพาะท่านอาจารย์แย้ม แต่แผ่ลงมาถึงมวลศิษยานุศิษย์ด้วย
ตอนค่ำมีการฉลองในหมู่ญาติมิตรและคณะศิษย์ที่บ้านของท่านอาจารย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดภคินีนาถ
ผมจำบรรยากาศในวันนั้นได้ดี เพราะได้รับความเมตตาอย่างยิ่งจากท่านอาจารย์ กล่าวคือ พอได้เวลาอันสมควรก็มีการถ่ายรูปหมู่โดยมีท่านอาจารย์เป็นประธานแวดล้อมด้วยบรรดาศิษย์คับคั่ง
ตอนนั้นผมกำลังช่วยหยิบยกอะไรวุ่นอยู่อีกทางหนึ่งไม่ได้มาเข้ากล้องด้วย
ได้ยินท่านอาจารย์ร้องถามเสียงดังว่า
“ย้อยอยู่ไหนล่ะ ?”
(๒) ด้านปฏิปทา
ท่านอาจารย์แย้มเป็นผู้ที่เคารพพระสงฆ์อย่างยิ่ง
เวลาท่านบรรยายให้พระสงฆ์ฟัง ท่านจะประนมมือตลอดเวลา
ปฏิปทาข้อนี้ผมลักจำนำมาใช้เสมอมา โดยที่ท่านไม่ได้สั่ง
แต่เพราะท่าน “ทำให้ดู”
ในวงสนทนา ถ้าเริ่มจะมีการตำหนิวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ ท่านอาจารย์แย้มจะมีปฏิกิริยาทันที
ถ้าผู้ตำหนิเป็นผู้ใหญ่กว่าท่าน ท่านจะลุกหนี ไม่ร่วมฟังด้วย
ถ้าเป็นคนเสมอกัน ท่านจะหาช่องทางทำความเข้าใจ
ถ้าเป็นเด็กกว่าท่าน ท่านจะถือโอกาสอบรมสั่งสอนไม่ให้พูดจาตำหนิพระ
วันหนึ่ง ท่านเลิกงาน (ท่านรับราชการเป็นอนุศาสนาจารย์กองทัพอากาศ) กลับถึงบ้านตามปกติ อาบน้ำ เอนหลัง พอได้เวลาห้าโมงกว่าๆ ภรรยาท่านก็ยกสำรับกับข้าวมาเทียบ เตรียมรับประทานอาหาร
มีพระภิกษุรูปหนึ่งโผล่ขึ้นบันไดบ้านมาพอดี
มาจากวัดไหนไม่รู้ แต่ท่านอาจารย์เลื่อนสำรับกับข้าวออกไปทันที แล้วรีบปูเสื่อ
“ปูเสื่อ” เป็นกิริยาที่คนไทยรุ่นก่อนคุ้นกันเป็นอันดี คือถ้ามีพระสงฆ์มาถึงบ้าน ต้องปูเสื่อเป็นอันดับแรก หลักการก็คือ ชาวบ้านจะนั่งเสมอกับพระไม่ได้ ต้องให้พระนั่งบนอาสนะ และ “อาสนะ” ที่หาได้ง่ายที่สุดในยามนั้นก็คือ เสื่อ
นี่เป็นวัฒนธรรมที่ดูเหมือนสูญหายไปแล้วจากสังคมเมืองหรือสังคมสมัยใหม่
อาจารย์แย้มสนทนาธรรมกับพระที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนตั้งแต่ห้าโมงกว่าจนเกือบสองทุ่ม
คนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือภรรยา เพราะท่านอาจารย์ยังไม่ได้กินข้าว และกับข้าวก็เย็นชืดหมดแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ญาติมิตรและบรรดาศิษย์ว่า ภรรยาท่านอาจารย์แย้ม “ปากจัด”
เมื่อเห็นว่าการสนทนาธรรมจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ ภรรยาท่านอาจารย์แย้มก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“เป็นพระเป็นสงฆ์ เข้าบ้านในเวลาวิกาลเป็นอาบัติ”
ภิกษุอาคันตุกะลากลับทันที แต่ด้วยอาการสดชื่น ไม่ใช่เพราะคำพูดของภรรยาท่านอาจารย์ แต่เพราะกำลังจะกลับอยู่พอดี
ส่งพระภิกษุลงเรือนเรียบร้อยแล้ว กลับขึ้นเรือน ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ได้รับประทานอาหารทันที เพราะต้องเสียเวลาอบรมสั่งสอนภรรยาอยู่เป็นเวลานาน
สรุปก็คือบอกว่า… พระท่านเอาสิริมงคลมาให้ถึงบ้าน อย่าไปว่าอะไรท่าน …
เมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านอาจารย์ไปทำงานพิเศษกับเอกชนรายหนึ่ง เป็นงานแปลพระคัมภีร์ที่ท่านถนัด แต่ทำได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุ
วันหนึ่ง อาจารย์คงเดช ประพัฒน์ทอง ลูกชายของท่านกลับจากทำงาน เห็นคุณพ่อนั่งหน้าแดงก่ำอย่างผิดปกติ ก็สงสัย
เมื่อสอบถามก็ได้รับคำตอบที่ดุเดือด
“ทำงานกับคัมภีร์แล้วมานั่งด่าพระ ยังงี้พ่อร่วมทางกับมันไม่ได้”
————–
ท่านอาจารย์แย้มโตมาจากวัด ท่านจะตาบอดถึงกับไม่รู้เลยหรือว่าในวัดก็มีคนไม่ดี
แต่ท่านไม่เคยปริปากตำหนิพระสงฆ์ไม่ว่าจะกรณีไหนๆ ทั้งสิ้น
ผมว่าท่านแยกได้ แยกเป็น
ถ้าพวกเรายังดูถูกดูหมิ่นกันเอง – โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัล
แล้วจะหวังให้ใครเขามานับถือ ?
๓ เมษายน ๒๕๕๗
