กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๑)
————-
แนวคิดในการออกบวชของพระพุทธเจ้าคืออย่างนี้ –
…………………………………………………
โส ตํ ธมฺมํ สุตฺวา ตถาคเต สทฺธํ ปฏิลภติ ฯ
ครั้นฟังธรรมนั้นแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต
โส เตน สทฺธาปฏิลาเภน สมนฺนาคโต อิติ ปฏิสญฺจิกฺขติ
เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า –
สมฺพาโธ ฆราวาโส
ฆราวาสคับแคบ
รชาปโถ
เป็นทางมาแห่งธุลี
อพฺโภกาโส ปพฺพชฺชา
บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง
นยิทํ สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา เอกนฺตปริปุณฺณํ เอกนฺตปริสุทฺธํ สํขลิขิตํ พฺรหฺมจริยํ จริตุํ
การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย
ยนฺนูนาหํ เกสมสฺสุํ โอหาเรตฺวา กาสายานิ วตฺถานิ อจฺฉาเทตฺวา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพเชยฺยนฺติ ฯ
อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด
ที่มา: สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๑๐๒ เป็นต้น
เป็นพระพุทธดำรัสตรัสแก่พระเจ้าอชาตศัตรู
ข้อความแบบเดียวกันนี้ปรากฏในพระไตรปิฎกอีกหลายแห่ง
…………………………………………………
เป็นอันยืนยันได้ว่า เป้าหมายในการออกบวชในพระพุทธศาสนาก็คือ ปฏิบัติขัดเกลาตนเองจนกว่าจะได้บรรลุมรรคผล และถือกันต่อมาว่า แม้จะไม่ได้บรรลุในชั่วชีวิตนี้ แต่ก็จะเป็นอุปนิสัยปัจจัยส่งเสริมให้บรรลุในภพชาติต่อ ๆ ไป
แต่คนในปัจจุบันประกาศชัดเจนว่า ที่บวช ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้มีหน้าไหนบ้างที่ตั้งใจไปนิพพานจริง บวชไปนิพพานเป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีใครปฏิบัติได้จริง เพราะฉะนั้น บวชแล้วแสดงตัวว่าข้าปฏิบัติขัดเกลา จึงเป็นการดัดจริต
อย่างสุภาพขึ้นมาหน่อยก็อาจจะบอกว่า จริง พระพุทธศาสนาบวชไปนิพพาน แต่นั่นมันสมัยพุทธกาลโบราณนานเนโน่น เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นอยู่กับความเป็นจริงกันดีกว่า บวชเพื่อหาช่องทางศึกษาพัฒนาสถานภาพทางสังคมของตัวเองนั่นแหละถูกต้องแล้ว และถ้าช่วยสังคมได้ด้วยก็ประเสริฐที่สุด
เป็นอันว่า บวชเพื่อปฏิบัติขัดเกลาตนเอง ถูกคว่ำลงไปแล้ว
บวชแล้วทำงานช่วยเหลือสังคม ถูกเชิดชูขึ้นมาแทน
………………………
ตรงจุด-บวชปฏิบัติขัดเกลาตนเองเพื่อไปนิพพานนี้เอง มีแนวคิดแทรกซ้อนอยู่อีก คือ บวชปฏิบัติขัดเกลาตนเองเพื่อไปนิพพาน ถูกมองว่าเป็นการสอนให้เห็นแก่ตัว
…………………………………………………
บวชแล้วไปนิพพาน เอาตัวรอดไปคนเดียว ทิ้งสังคม เป็นคนเห็นแก่ตัว
บวชแล้วช่วยสังคมจึงจะเป็นคนดี
…………………………………………………
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พูดกันเพลินไป-ไปนิพพาน เอาตัวรอดไปคนเดียว ทิ้งสังคม เห็นแก่ตัว
ควรจะถอยมาตั้งหลักศึกษากันใหม่ ไปนิพพานคืออะไร ทิ้งสังคมคืออย่างไร แน่ใจหรือว่าเข้าใจถูกแล้ว?
คนไทยเข้าใจว่าผู้บรรลุนิพพานต้องหลบลี้หนีหน้าไม่เอาสังคม ตายแล้วไปอยู่ที่ดินแดนแห่งหนึ่งเป็นอมตะตลอดไป นี่คือการเข้าใจผิดสุดขั้วโลก
เพราะความเข้าใจผิดสุดขั้วโลกเรื่องนิพพาน จึงมีท่านจำพวกหนึ่ง พอเห็นใครกระตุ้นเตือนให้พระปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ท่านจำพวกนี้ก็จะออกมาบอกว่า อย่าเกณฑ์ให้พระไปนิพพานกันนักเลย เดี๋ยวจะไม่มีพระอยู่ช่วยสังคม เอาแค่ให้มีพระเฝ้าวัดให้ญาติโยมทำบุญก็พอแล้ว
นี่ก็คือไปเข้าใจว่า ใครบรรลุนิพพานต้องทิ้งสังคม ไม่เอาสังคม ไม่รับผิดชอบสังคม ไม่ช่วยเหลือสังคม ซ้ำบอกว่านิพพานของพระพุทธศาสนาสอนแบบนี้แหละ
ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ ผู้ที่คิดแบบนี้พูดแบบนี้ก็คือผู้ที่บวชอยู่พระพุทธศาสนานี่เอง
นักสังคมหลาย ๆ สำนักก็เลยพลอยไม่ชอบพระพุทธศาสนาไปด้วย หาว่าเป็นศาสนาที่เห็นแก่ตัว สอนให้คนเอาตัวรอด ไม่ช่วยเหลือสังคม
เราพากันลืมไปเสียสนิทว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมแห่งการบรรลุนิพพานนั่นเอง บรรลุนิพพานแล้วก็ยังอยู่กับสังคม ทำงานช่วยเหลือสังคมต่อมาอีกถึง ๔๕ ปี
เรียกว่าอยู่กับสังคม ทำงานเพื่อสังคมจนตาย
ทำไมไม่นึก ทำไมพากันลืมไปเสียเล่า
พระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์อีกนับหมื่นนับแสนนับล้าน ท่านก็อยู่กับสังคมทำงานช่วยเหลือสังคมทั้งนั้น ไม่มีใครหลบลี้หนีหน้าจากสังคมสักองค์เดียว
มีพระอัญญาโกณฑัญญะเท่านั้นที่ทูลขอพุทธานุญาตไปจำพรรษาอยู่ในป่าหิมพานต์องค์เดียว หลังจากที่ทำงานช่วยเหลือสังคมอยู่ระยะหนึ่ง พอจะพูดได้ว่า-ทิ้งสังคม แต่นั่นเพราะท่านมีปัญหาเรื่องวัยและสุขภาพ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่ปฏิบัติธรรม บรรลุธรรม ล้วนแต่ยังอยู่กับสังคมและทำงานช่วยเหลือสังคมทั้งสิ้น ท่านเหล่านี้ทำงานเพื่อสังคมโดยไม่มีวันเกษียณ และส่วนมากทำงานจนตาย
แต่ทำไมคนไทยกลับพากันเข้าใจว่า ผู้บรรลุนิพพานต้องทิ้งสังคม ผู้ปฏิบัติธรรมต้องทิ้งสังคมเอาตัวรอด พระพุทธศาสนา-โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเถรวาท-สอนให้คนทิ้งสังคมเอาตัวรอดไปแต่ลำพัง
เอาความคิดความเข้าใจแบบนี้มาจากไหน?
ทำไมไม่ “แหกตา” มองปฏิปทาของพระพุทธองค์และของพุทธสาวกที่มีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระพุทธศาสนากันบ้าง
หลับตาพูดอยู่ได้ว่า-อย่าเกณฑ์ให้พระไปนิพพานกันหมด เดี๋ยวจะไม่มีพระเฝ้าวัด
อันที่จริง ควรจะช่วยกันถวายกำลังใจให้พระมีอุตสาหะตั้งใจปฏิบัติธรรมมุ่งถึงนิพพานกันให้มาก ๆ
เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะได้มีพระดี ๆ ไว้เฝ้าวัดมากขึ้น และมีพระดี ๆ ไว้ช่วยสังคมอย่างถูกวิธีได้ดีขึ้น
………………………
ประเด็นที่จะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันก็คือ พระทำงานช่วยสังคมนั้นคือทำงานแบบไหน
คำตอบชัด ๆ ก็คือ ช่วยสังคมตามแบบของพระ ไม่ใช่ตามแบบของชาวบ้าน
พูดชัด ๆ พระทำงานของพระ ไม่ใช่เอางานของชาวบ้านมาทำ
………………………

ในพระไตรปิฎก มีพระสูตรหนึ่งกล่าวถึงพระพุทธองค์เสด็จไปบิณฑบาตที่นาของชาวนาซึ่งกำลังไถนาอยู่ ชาวนาพูดเป็นเชิงตำหนิว่า เขาต้องทำนาจึงมีข้าวกิน พระพุทธเจ้าไม่ทำนา แต่มาเที่ยวขอข้าวเขากิน อยากได้ข้าวกินก็จงไปทำนาเอาสิ (ถ้อยคำไม่ตรงตามนี้ แต่ใจความเป็นอย่างนี้)
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า พระองค์ก็ทำนา
ชาวนาย้อนให้ว่า ทำนา แต่ไม่เห็นมีอุปกรณ์สักอย่าง
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
…………………………………………………
สทฺธา พีชํ ตโป วุฏฺฐิ
ปญฺญา เม ยุคนงฺคลํ
หิริ อีสา มโน โยตฺตํ
สติ เม ผาลปาจนํ.
ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน
ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ
ความละอายใจเป็นงอนไถ ใจเป็นเชือก
สติของเราเป็นผาลและประตัก
กายคุตฺโต วจีคุตฺโต
อาหาเร อุทเร ยโต
สจฺจํ กโรมิ นิทฺทานํ
โสรจฺจํ เม ปโมจนํ.
เราควบคุมการกระทำ ควบคุมวาจา
สำรวมในการบริโภคอาหาร
เราดายหญ้า (คือวาจาสับปลับ) ด้วยคำสัตย์
ความสุภาพของเราเป็นเครื่องทำให้งานสำเร็จ
วิริยํ เม ธุรโธรยฺหํ
โยคกฺเขมาธิวาหนํ
คจฺฉติ อนิวตฺตนฺตํ
ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติ.
ความเพียรของเราเป็นเครื่องนำธุระไปให้สมหวัง
นำไปถึงความเกษมจากโยคะ
ไปไม่ถอยกลับถึงแดน-
อันบุคคลไปถึงแล้วย่อมไม่เศร้าโศก
เอวเมสา กสี กฏฺฐา
สา โหติ อมตปฺผลา
เอตํ กสึ กสิตฺวาน
สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติ.
เราทำนาอย่างนี้
นาที่เราทำนั้นย่อมมีผลเป็นอมตะ
บุคคลทำนาอย่างนี้แล้ว
ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ที่มา: กสิภารทวาชสูตร สังยุตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๕ ข้อ ๖๗๔
…………………………………………………
เมื่อยังครองเรือน ก็ต้องทำงานของชาวบ้าน
เมื่อออกมาครองเพศสมณะ ก็ต้องทำงานของชาววัด
ช่วยสังคมตามกรอบขอบเขตของชาววัด
พระพุทธเจ้าไม่ได้ลงไปจับไถช่วยชาวนาไถนา
ไม่ได้จับเคียวช่วยชาวนาเกี่ยวข้าว
แต่ทรงช่วยด้วยวิธีของพระ คือแสดงธรรมะให้ชาวนาเข้าใจสาระของการทำนา-สาระของการทำงาน
ถ้าพระจะช่วยสังคม ก็ต้องช่วยตามแบบของพระซึ่งพระพุทธองค์ทรงทำแบบไว้ให้ดูแล้ว
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๕ กันยายน ๒๕๖๗
๑๖:๑๘
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๑)
…………………………………………………
