บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๒)

————-

จากแนวคิดที่ว่า พระต้องช่วยสังคม และวิธีที่พระช่วยสังคมตามความเข้าใจของชาววัดและชาวบ้านสมัยนี้ก็คือ พระเอางานของชาวบ้านมาทำเอง เช่น –

พระช่วยชาวบ้านไถนา 

พระช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว 

พระช่วยชาวบ้านซ่อมบ้าน 

พระช่วยชาวบ้านขนของ

พระเข้าครัวเองหุงข้าวต้มแกงเอาไปเลี้ยงชาวบ้านที่ประสบสาธารณภัย

พระสอนวิชาซ่อมสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าให้แก่ลูกชาวบ้าน

ฯลฯ

แล้วอธิบายกันว่า “พระมีสิทธิ์ทำได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

ทำให้เกิดแนวคิดแตกแขนงออกไปอีกว่า พระสละสิทธิ์ของผู้ครองเรือนแล้ว ออกจากเรือนไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือนแล้ว ยังทำงานของผู้ครองเรือนอยู่อีก เป็นการถูกต้องหรือไม่

ที่ใช้คำว่า “สละสิทธิ์ของผู้ครองเรือน” ก็ดูจากถ้อยคำในแนวคิดการออกบวชที่ว่า –

…………………………………………………

ยนฺนูนาหํ  เกสมสฺสุํ  โอหาเรตฺวา  กาสายานิ  วตฺถานิ  อจฺฉาเทตฺวา  อคารสฺมา  อนคาริยํ  ปพฺพเชยฺยนฺติ  ฯ 

อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด

ที่มา: สามัญญผลสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

พระไตรปิฎกเล่ม ๙ ข้อ ๑๐๒ เป็นต้น

…………………………………………………

คำว่า “อคารสฺมา  อนคาริยํ  ปพฺพเชยฺยํ” แปลตามสำนวนบาลีว่า “เราพึงบวชจากบ้านเรือนเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือน” 

สำนวนบาลีอาจจะฟังดูแปร่ง ๆ แปลเป็นไทยให้กระชับว่า เราขอสละสิทธิ์ของผู้ครองเรือนไปใช้สิทธิ์ของผู้ครองเพศสมณะผู้ไม่มีบ้านเรือน

สิทธิ์ของผู้ครองเรือนก็คือ อะไรที่ผู้ครองเรือนทำได้มีได้เป็นได้ พระก็สละสิทธิ์คือไม่ทำไม่มีสิ่งนั้นและไม่เป็นเช่นนั้น และอะไรที่เป็นหน้าที่คือเป็นงานที่ผู้ครองเรือนทำได้และจะต้องทำ พระก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานเช่นนั้น

สิทธิ์ของผู้ครองเพศสมณะก็คือ ไม่ต้องทำการงานหาเลี้ยงชีพ เพราะชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาจะเป็นผู้หาเลี้ยง และการได้รับความเคารพนับถืออันนำมาซึ่งการได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ซึ่งชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธามอบให้ เช่นการได้รับบริการก่อน และการยกเว้นค่าบริการหลาย ๆ อย่าง เป็นต้น 

แต่พร้อมกันนั้น ผู้ครองเพศสมณะก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วย คือครองตนอยู่ในพระธรรมวินัยและปฏิบัติขัดเกลาตนเองอันมีเป้าหมายอยู่ที่การได้บรรลุธรรมตามสมควรแก่การปฏิบัติ 

อาจกล่าวได้ว่า เพราะปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้นั่นเอง พระจึงสมควรได้รับสิทธิดังกล่าว

ปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้ก็คือ อะไรที่เป็นงานของชาวบ้าน พระก็ทำเหมือนที่ชาวบ้านทำ บอกกันว่าไม่เสียหาย อ้างว่าเป็นการช่วยเหลือชาวบ้าน

พระขอสิทธิ์ทำงานเหมือนชาวบ้าน ได้หรือไม่?

พูดชัด ๆ พระขอใช้สิทธิ์แบบเดียวกับสิทธิ์ของผู้ครองเรือน จะใช่ได้หรือไม่ อย่างเช่น –

สิทธิ์ของผู้ครองเรือนคือ กินอาหารหลังเที่ยงวันได้

พระขอใช้สิทธิ์ฉันอาหารหลังเที่ยงวัน ได้หรือไม่

สิทธิ์ของผู้ครองเรือนคือเล่นกีฬาแข่งกีฬาได้

พระขอใช้สิทธิ์เล่นกีฬาแข่งกีฬา ได้หรือไม่

สิทธิ์ของผู้ครองเรือนคือ มีคู่ครองได้

พระขอใช้สิทธิ์มีคู่ครอง ได้หรือไม่

ถ้าพระขอมีสิทธิ์ตามตัวอย่างที่ยกมานี้จริง ๆ คงมีผู้เรียกหาบทบัญญัติทางพระวินัย-เรื่องนั้น ๆ มีพระวินัยบัญญัติห้ามทำหรืออนุญาตให้ทำได้ไว้หรือไม่

จะเห็นได้ว่า ในที่สุดเงื่อนไขทางพระวินัยเป็นสิ่งสำคัญกว่าสิทธิและหน้าที่ อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้-ไม่ว่าจะเพื่อช่วยสังคมหรือเพื่ออะไรก็ตาม ในที่สุดก็ต้องตัดสินกันที่หลักพระธรรมวินัย

………………………

การขอใช้สิทธิ์ของผู้ครองเรือนเรื่องหนึ่งที่พระไทย “ฮึ่ม ๆ” กันมาหลายยุคหลายสมัย และผมอยากชวนให้คิดก็คือ การขอให้พระภิกษุสามเณรมีสิทธิ์เลือกตั้ง

เงื่อนไขทางกฎหมายที่ถูกยกขึ้นมากระทบกระแทกกันตลอดเวลาก็คือ บอกว่า พระถูกจัดให้เป็นพวกเดียวกับคนวิกลจริตบ้าใบ้ไม่สมประกอบ-ซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง บอกว่านี่เป็นการดูถูกพระ กดพระอย่างวิปริตผิดความจริง

กรณีนี้ ถ้าเอาสิทธิของผู้ครองเรือนตั้งเป็นหลัก ก็จะตัดสินได้ง่ายที่สุด

การเลือกตั้งเป็นสิทธิ์โดยตรงของผู้ครองเรือน

พระสละสิทธิ์ของผู้ครองเรือนไปแล้ว-ดังที่ยกหลักฐานมาให้ดูข้างต้น

การที่พระขอมีสิทธิ์เลือกตั้งอันเป็นสิทธิ์ของผู้ครองเรือนก็ไม่ต่างอะไรกับพระขอมีสิทธิ์ฉันอาหารหลังเที่ยงวัน พระขอมีสิทธิ์เล่นกีฬาแข่งกีฬา พระขอมีสิทธิ์มีคู่ครอง-อันเป็นสิทธิ์โดยตรงหรือสิทธิ์เฉพาะผู้ครองเรือน

การอ้างถึงสิทธิของผู้เป็นสมาชิกของพระศาสนาที่ควรจะมีส่วนมีเสียงในการบริหารจัดการบ้านเมืองเพื่อให้เกิดผลดีแก่พระศาสนา ก็ต้องมองให้ถูกมุม นั่นคือ การบริหารจัดการบ้านเมืองเป็นหน้าที่ของผู้ครองเรือน

สมาชิกของพระศาสนาต้องการให้ผู้บริหารบ้านเมืองทำอะไรหรืออย่าทำอะไร ย่อมสามารถพูดจาบอกกล่าวแก่ผู้บริหารบ้านเมืองได้โดยตรงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้อง “โดด” เข้าไปบริหารจัดการด้วยตัวเอง

ระเบียบปฏิบัติทางพระวินัยว่าด้วยการขอหัตถกรรมและขออารักขาที่พระพุทธองค์ทรงวางเป็นแบบแผนไว้ และพระอรหันตสาวกถือปฏิบัติกันมา ก็ปรากฏชัดเจนว่า-เรื่องอย่างนี้พระไม่ต้องทำเอง

และตามวัฒนธรรมไทยเรา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกก็คือแบบแผนที่สืบทอดกันมา-พุทธจักรต้องการอะไร อาณาจักรจะจัดถวายให้ เห็นได้ชัดอยู่ทุกยุคทุกสมัย (จะมาวิปริตเอาก็ตอนที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงเอาพระราชอำนาจไปจากสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หน้าที่ “อัครศาสนูปถัมภก” ที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติอยู่ไม่ได้เอาไปด้วย แต่ถึงกระนั้น-ถึงแม้รัฐบาลจะไม่ได้ให้ความสำคัญแก่พระพุทธศาสนา แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคง “ปหิตตฺต” (of resolute will) ให้แก่พระพุทธศาสนาไม่เสื่อมคลาย)

สรุปว่า เพราะหลักพระธรรมวินัย-หลักการมีอยู่เช่นนี้ การที่บ้านเมืองกำหนดไม่ให้พระภิกษุสามเณรนักพรตนักบวชมีสิทธิ์เลือกตั้งจึงเป็นการชอบแล้ว

ส่วนที่บอกว่า พระถูกจัดให้เป็นพวกเดียวกับคนวิกลจริตบ้าใบ้ไม่สมประกอบ ก็เป็นการมองผิดมุม หรือมองแบบตรรกะป่วย

เหมือนตรรกะเพี้ยนที่ว่า –

แมวเป็นสัตว์สี่เท้า 

ช้างก็เป็นสัตว์สี่เท้า 

เพราะฉะนั้น แมวคือช้าง 

การมีจำนวนเท้าเท่ากันไม่ได้ทำให้แมวกับช้างเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันไปได้เลย มันเหมือนกันเฉพาะมีจำนวนเท้าเท่ากันเท่านั้น อื่น ๆ ไม่ใช่เลย

ไม่มีใครวิปริตคิดไปว่า คนวิกลจริตบ้าใบ้ไม่สมประกอบก็มีค่าควรแก่การเคารพนับถือเท่ากับพระ ฉันใด

ก็ไม่มีใครวิปริตคิดไปว่า พระเป็นคนไร้ค่าเท่ากับคนวิกลจริตบ้าใบ้ไม่สมประกอบ ฉันนั้น

เฉพาะกรณีที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งเท่านั้นที่พระอยู่ในฐานะเดียวกับคนวิกลจริตบ้าใบ้ไม่สมประกอบ กรณีอื่น ๆ ไม่ใช่และไม่เหมือนกันด้วยประการทั้งปวง

และการที่พระไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งก็เกิดจากพระสละสิทธิ์เอง คือสละสิทธิ์ของผู้ครองเรือนไปใช้สิทธิ์ของผู้ครองเพศสมณะ

ทางออกที่ถูกต้องที่สุดก็คือ ถ้าต้องการได้สิทธิ์เลือกตั้ง ก็สละสิทธิ์ของผู้ครองเพศสมณะเสีย กลับไปเป็นผู้ครองเรือนเหมือนเดิม สิทธิเลือกตั้งอันเป็นสิทธิ์โดยเฉพาะของผู้ครองเรือนก็จะมาทันที

สิทธิ์ของผู้ครองเรือนก็ไม่ละ

สิทธิ์ของผู้ครองเพศสมณะก็ไม่ปล่อย

แบบนี้ ย่อมไม่ใช่ความเป็นธรรม

………………………

สมมุติว่า ยอมให้พระมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ ก็แน่ใจได้เลยว่าสิ่งที่จะเกิดตามมาในอนาคต-แบบสำนวนไทยว่า “ได้คืบจะเอาศอก” ก็คือ การขอมีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ต่อจากนั้นก็-สิทธิ์ที่จะมีตำแหน่งทางการเมือง สิทธิ์ที่จะเป็นรัฐมนตรี สิทธิ์ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี สิทธิ์ที่จะเป็นผู้บริหารบ้านเมืองเต็มตัว-เหมือนกับผู้ครองเรือนทั้ง ๆ ที่ยังครองเพศสมณะอยู่นั่นเอง

หลายท่านคงอยากจะบอกว่า โอย พระประเทศนั้น พระประเทศโน้น เขาทำเขาเป็นกันอย่างนั้นทั้งนั้นแหละ มีแต่พระประเทศไทยนี่แหละที่ล้าหลัง …

ไม่ต้องห่วงครับ ใจเย็น ๆ อีกไม่นานพระทั้งหมดในพระพุทธศาสนา-รวมทั้งพระในประเทศไทยด้วย-ก็จะใช้สิทธิ์ทุกอย่างของผู้ครองเรือนในนาม “โคตรภูสงฆ์” ที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้แล้วในทักขิณาวิภังคสูตร

…………………………………………………

https://84000.org/tipitaka/read/?14/706-718

…………………………………………………

อรรถกถาขยายความไว้ดังนี้ –

…………………………………………………

เต  กิร  เอกํ  กาสาวกฺขณฺฑํ  หตฺเถ  วา  คีวาย  วา  พนฺธิตฺวา  วิจริสฺสนฺติ  ฯ  ฆรทฺวารํ  ปน  เตสํ  ปุตฺตภริยากสิวณิชฺชาทิกมฺมานิ  จ  ปากติกาเนว  ภวิสฺสนฺติ  ฯ (ปปัญจสูทนี ภาค ๓ หน้า ๘๖๑-๘๖๒)

แปลตามสำนวนทองย้อยว่า –

กล่าวกันว่าภิกษุโคตรภูสงฆ์นั้นผูกผ้ากาสาวพัสตร์ชิ้นหนึ่งไว้ที่มือหรือที่คอพอให้รู้ว่าเป็นพระ ทว่าภิกษุเหล่านั้นมีบ้านเรือน มีบุตรภรรยา มีการประกอบอาชีพ เช่นทำไร่ ทำนา ค้าขาย เหมือนชาวบ้านทั่วไป

…………………………………………………

ไม่ต้องห่วงครับ ใจเย็น ๆ อยากเห็นหรืออยากเป็นโคตรภูสงฆ์ ก็เตรียมตัวไปเกิดในอนาคตได้เลย 

ทำอย่างนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ทำอย่างนั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์ – ไม่ว่าใครจะเหนี่ยวหน่วงถ่วงรั้งอย่างไร สภาพโคตรภูสงฆ์ต้องมาแน่ นี่เป็นพุทธพยากรณ์ พระพุทธเจ้ามีพระวาจาไม่เป็นสอง (อเทฺวขฺฌวาโจ) อดใจรอสักนิด ได้เห็นได้เป็นสมปรารถนาแน่

…………………………………………………

ถ้ารู้ทันมัน เราก็รอดตัว

ถ้าเป็นกับมัน เราก็หมดตัว

…………………………………………………

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๖ กันยายน ๒๕๖๗

๑๓:๕๐

…………………………………………………

กิจของสงฆ์ (๑๒)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid02HYPqWSj91V8ivvo7Gywd8vYnH7puopZQ4PvpQWWf6GnjqzKVfNxqhNDFmUMDbfhal

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้