กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๓)
————-
คนสมัยใหม่-ทั้งชาววัดและชาวบ้าน-มองระเบียบวินัยหรือหลักพระธรรมวินัยอย่างไร ได้นำเสนอข้อที่ ๑ มาแล้ว คือ พระต้องช่วยสังคม พระดีคือพระที่ช่วยสังคม สังคมอยู่ไม่รอด ศาสนาก็อยู่ไม่รอด พระจึงต้องช่วยให้สังคมอยู่รอด
ต่อไปเป็นข้อที่ ๒
………………………
๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าวินัยบัญญัติ
………………………
เรื่องหนึ่งที่ผมเชื่อว่า ชาววัดและชาวบ้านรุ่นใหม่ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ และไม่เคยได้ยิน นั่นคือคำพูดที่ว่า “สึกไปรักษาตัว”
“สึกไปรักษาตัว” หมายความว่าอย่างไร?
ชายไทยสมัยก่อนบวชเมื่ออายุครบบวช บวชเอาพรรษา คือบวชก่อนเข้าพรรษา อยู่จำพรรษา ออกพรรษารับกฐินแล้วจึงสึก นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่สึก อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ ๒ พรรษา ๓ พรรษา บางทีอยู่ไปถึง ๕ พรรษาจึงสึกก็มี ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครรู้สึกแปลกประหลาดหรืออัศจรรย์ใด ๆ
พระตามวัดต่าง ๆ คือพระที่บวชเมื่ออายุครบบวช แล้วอยู่เรื่อยมา กับอีกส่วนหนึ่งพระที่บวชด้วยเหตุผลอื่น ๆ บวชแล้วก็อยู่เรื่อยมา พูดตามภาษาคนสมัยนั้นก็ว่า-ยังสบายใจอยู่ ยังเพลิดเพลินในพระธรรมวินัยอยู่ ก็อยู่กันเรื่อยมา ไม่ได้มีแผนว่าจะสึกเมื่อไรหรือจะสึกไปทำอะไร พระที่มีอยู่ตามวัดสมัยก่อนเป็นอย่างนี้
แม้สมัยนี้ พระที่มีอยู่ตามวัดต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาและยังอยู่ด้วยเหตุแบบเดียวกันนี้ก็มีอยู่-ยังสบายใจอยู่ ยังเพลิดเพลินในพระธรรมวินัยอยู่ ก็อยู่กันเรื่อยมา
แต่พระสมัยก่อน ถ้าเกิดอาพาธอย่างใดอย่างหนึ่ง และพิจารณาเห็นว่าถ้ายังคงอยู่เป็นพระ กระบวนการรักษาพยาบาลจะทำได้ไม่สะดวก
วิธีที่ปฏิบัติกันทั่วไปก็คือสึก
และอ้างเหตุผลได้เต็มปากเต็มคำว่า “สึกไปรักษาตัว”
ใครได้ฟังก็เข้าใจ แม้ไม่ได้พูดบอกใคร คนที่รู้เข้าก็จะพูดออกมาเองว่า “ท่านสึกไปรักษาตัว” เป็นที่รู้เข้าใจตรงกันหมด แฝงไว้ด้วยน้ำใจอนุโมทนา
และหลายรายเมื่อรักษาอาการเจ็บป่วยหายเป็นปกติดีแล้วก็กลับมาบวชอีก เพราะมีน้ำใจรักในทางธรรม ใครที่รู้จักรู้อัธยาศัย รู้เข้าก็พลอยอนุโมทนา
มีเหตุผลอะไรจึงต้องสึกไปรักษาตัว?
เหตุผลของพระสมัยก่อนก็คือ เมื่อยังเป็นพระอยู่ก็ต้องรักษาพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด แต่กระบวนการรักษาโรคอาจจะมีบางขั้นตอนหรือบางวิธีที่ขัดต่อพระธรรมวินัย
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ เช่น ต้องฉันอาหารตอนเย็นตามคำแนะนำหรือคำสั่งของหมอ
บางกรณี ทางโรงพยาบาลไม่สามารถจัดหาบุรุษพยาบาลมาดูแลได้ด้วยความจำเป็นหลาย ๆ ประการ ต้องใช้หมอและผู้ทำหน้าที่รักษาพยาบาลเป็นสตรีเพศ จำเป็นต้องจับต้องร่างกายพระ เรื่องนี้ทำให้พระสมัยก่อนตะขิดตะขวงและอึดอัดใจอย่างยิ่ง
แม้แต่กรณีที่ต้องเปลี่ยนสบงจีวร ใส่เสื้อผ้าชุดคนไข้ตามระเบียบของโรงพยาบาล ถ้าเป็นพระสมัยก่อนจะพูดคล้าย ๆ กันว่า – แบบนี้เอากูกลับไปตายวัดเถอะ – อย่างนี้เป็นต้น
รายละเอียดปลีกย่อยมีอีกมาก ซึ่งเพศสมณะเป็นอุปสรรคในกระบวนการรักษา ทำให้รักษาได้ไม่เต็มที่หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการรักษา ทำให้โรคไม่หายขาดหรือไม่ได้ผล
สรุปแล้ว พระสมัยก่อนที่อาพาธ ท่านไม่สมัครใจที่จะเหยียบย่ำพระธรรมวินัยจึงหาทางออกด้วยการสึกเพื่อไปรักษาตัว
พระธรรมวินัยก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
วิธีที่จะรักษาชีวิตไว้ให้ปลอดภัยก็ทำได้สะดวก
เหตุผลที่เสริมสำทับตามมาก็คือ – รักษาพระธรรมวินัยไว้ได้ รักษาชีวิตไว้ได้ รอดตายยังมีโอกาสกลับมาประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยได้อีก
แต่พระสมัยนี้ไม่ได้คิดอย่างนี้กันแล้ว
พระสมัยนี้คิดว่า เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจำเป็นจะต้องสึก รักษาตัวทั้งเป็นพระก็ทำได้ ละเมิดพระธรรมวินัยแค่นี้ก็แค่อาบัติทุกกฎ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย รักษาชีวิตสำคัญกว่า
นอกจากรักษาชีวิตสำคัญกว่าแล้ว รักษาสถานภาพทางพระ เช่น อายุพรรษา ตำแหน่งหน้าที่ สิทธิประโยชน์ ถ้าสึกก็หายวับไปกับตา นี่ก็สำคัญไม่แพ้กัน สึกแล้วจะไปยังไง แลกกับพระธรรมวินัย “อาบัติก็แค่ทุกกฎ” ไม่คุ้มกันเลย
เพราะฉะนั้น ไม่สึกดีกว่า ดีที่สุดด้วย อะไรที่ละเมิดพระธรรมวินัยบ้างก็ทำไปเถอะ อ้างได้เต็มปากอยู่แล้ว – “หมอสั่ง”
เป็นอันว่า สมัยนี้พระอาพาธที่สึกไปรักษาตัวสูญพันธุ์ไปแล้ว ใครเลือกวิธี “สึกไปรักษาตัว” คงเป็นที่ขบขันแกมสังเวช

ผมเคยอยู่ในเหตุการณ์ เคยเห็น จึงขอบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ คนรุ่นหลังจะได้รู้ไว้ว่า พระที่เทิดทูนพระธรรมวินัย เลือกใช้วิธีสึกออกไปรักษาตัวเคยมีอยู่จริงในพระศาสนานี้
………………………
ไหน ๆ ก็พูดพาดพิงถึงหมอและพยาบาลหญิง ผมขออนุญาตแสดงความรู้สึกบางประการ หากจะไปกระทบกระเทือนต่อสตรีเพศก็ขออภัยไว้ด้วย
นั่นก็คือ ผมรู้สึกว่า หมอและพยาบาลหญิงนั้น เมื่อปฏิบัติต่อพระอาพาธ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มองว่าท่านเป็นพระ แต่มองอย่างเดียวว่า-นี่คือคนไข้
คุณจะเป็นพระเป็นสงฆ์หรือเป็นใครฉันไม่รับทราบ แต่คุณคือคนไข้ คือคนป่วย ตามมาตรฐานวิชาชีพของฉันเขาสอนให้ปฏิบัติกับคนไข้แบบไหน ฉันก็ทำแบบนั้น คุณจะเป็นใครก็เรื่องของคุณ แต่เวลานี้คุณคือคนไข้ คุณต้องทำตามแบบของฉัน
ผสมกับที่สมัยนี้-ตามการสังเกตของผม-ผู้หญิงรู้เรื่องระเบียบวินัยของพระน้อยอย่างยิ่ง พูดอย่างไม่ต้องเกรงใจคือ-ไม่รู้หรือไม่รับรู้เอาเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้น การปฏิบัติต่อพระ หรือปฏิบัติกับพระ จึงเป็นแบบที่-ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีนอกจาก-หน้าตาเฉยแบบไม่สะดุ้งสะเทือน
ตัวอย่างที่เห็นดาษดื่น-ผู้หญิงสมัยนี้ส่งของให้พระรับกับมืออย่างหน้าตาเฉย
………………………
แล้วก็เลยคิดต่อไป-ถึงมารยาทที่ปฏิบัติต่อพระ
คนไทยเมื่อ ๗๐ ปีที่แล้ว เดินสวนกับพระ จะนั่งลง ยกมือประนม พระเดินคล้อยไปแล้วจึงลุกขึ้นไปต่อ
คนไทยวันนี้-โดยเฉพาะผู้หญิง-เดินสวนกับพระอย่างหน้าตาเฉย อย่าว่าถึงนั่งลงยกมือประนมเลย หลีกทางยังไม่หลีก พระต้องเป็นฝ่ายหลีก ไม่งั้น-ชนพระจริง ๆ จะบอกให้!
ค่านิยม-การอบรมสั่งสอนถ่ายทอด ขาดตอนขาดหายไปหมดสิ้น
…………………………………………………
ผมอยากให้มีฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทย แล้วเดินสวนกับพระ แล้วฝรั่งนั่งลง ยกมือประนม พระเดินคล้อยไปแล้วฝรั่งจึงลุกขึ้นไปต่อ
อยากดูว่าคนไทยเจ้าของวัฒนธรรมจะทำหน้าแบบไหน
…………………………………………………
ผมเองไม่ได้ประเสริฐเลิศเลออะไร ทุกครั้งที่เดินสวนกับพระ ผมก็ไม่ถึงกับนั่งลงประนมมือ เพราะถนนหนทางสภาพแวดล้อมไม่เอื้อเหมือนสมัยก่อน แต่ผมจะหลีกทาง หยุดยืน ประนมมือน้อมไหว้ พระเดินคล้อยไปแล้วจึงไปต่อ ทำได้แค่นี้ ถ้าปู่ย่าตายายท่านลุกขึ้นมาดูได้ แม้ท่านจะไม่ชม แต่ท่านก็คงไม่ตำหนิ
ขอประทานโทษที่พูดเรื่องตัวเองเล็กน้อย กลอนพาไปครับ
เป็นอันจบความในประเด็นที่ ๒-คำสั่งหมอสำคัญกว่าวินัยบัญญัติ อันเป็นแนวคิดของคนสมัยใหม่-ทั้งชาววัดและชาวบ้าน
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๗ กันยายน ๒๕๖๗
๑๓:๕๘
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๓)
…………………………………………………
