บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๕)

————-

หลักฐานที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดเจนว่า พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อสงฆ์พวกไหน ก็อยู่ในพระวินัยปิฎกนั่นเอง

พระวินัยปิฎกคืออะไร?

พระวินัยปิฎกก็คือส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก ที่เรารู้กันว่าประกอบด้วยคัมภีร์ ๓ ส่วน คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก (หรือพระสูตร) และพระอภิธรรมปิฎก

เพื่อให้เห็นเค้าโครงของพระวินัยปิฎก ขอนำข้อความที่คำว่า “ไตรปิฎก” เฉพาะส่วนที่ว่าด้วยพระวินัยปิฎก จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต มาเสนอไว้ในที่นี้ ดังนี้ –

…………………………………………………

พระวินัยปิฎก : ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์ (เรียกย่อหรือหัวใจว่า อา ปา จุ ) คือ 

๑. อาทิกัมมิกะ หรือปาราชิก ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติหนักของฝ่ายภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่ปาราชิกถึงอนิยต 

๒. ปาจิตตีย์ ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับอาบัติเบา ตั้งแต่นิสสัคคิยปาจิตตีย์ถึงเสขิยะ รวมตลอดทั้งภิกขุนีวิภังค์ทั้งหมด 

๓. มหาวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาติโมกข์ตอนต้น ๑๐ ขันธกะ หรือ ๑๐ ตอน 

๔. จุลวรรค ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาติโมกข์ตอนปลาย ๑๒ ขันธกะ (เขียนเต็มเป็น จุลลวรรค; จูฬวรรค ก็เขียน) 

๕. ปริวาร คัมภีร์ประกอบหรือคู่มือ บรรจุคำถามคำตอบสำหรับซ้อมความรู้พระวินัย

พระวินัยปิฎกนี้ แบ่งอีกแบบหนึ่งเป็น ๕ คัมภีร์เหมือนกัน (จัด ๒ ข้อในแบบต้นนั้นใหม่) คือ 

๑. มหาวิภังค์ หรือภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาติโมกข์ (ศีล ๒๒๗ ข้อ) ฝ่ายภิกษุสงฆ์ 

๒. ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาติโมกข์ (ศีล ๓๑๑ ข้อ) ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ 

๓. มหาวรรค 

๔. จุลวรรค 

๕. ปริวาร

บางทีท่านจัดให้ย่นย่อเข้าอีก แบ่งพระวินัยปิฎกเป็น ๓ หมวด คือ 

๑. วิภังค์ ว่าด้วยสิกขาบทในปาติโมกข์ทั้งฝ่ายภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ (คือรวมข้อ ๑ และ ๒ ข้างต้นทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน) 

๒. ขันธกะ ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาติโมกข์ ทั้ง ๒๒ ขันธกะ หรือ ๒๒ บทตอน (คือรวมข้อ ๓ และ ๔ เข้าด้วยกัน) 

๓. ปริวาร คัมภีร์ประกอบ (คือข้อ ๕ ข้างบน)

…………………………………………………

คราวนี้ตัดลัดตรงไปที่ตัวสิกขาบทหรือศีลแต่ละข้อ 

พระวินัยปิฎกจะบรรยายความตั้งแต่เหตุการณ์ความเป็นมาของเรื่อง ใครทำอะไรอย่างไร จนถึงพระพุทธดำรัสบัญญัติสิกขาบทนั้น ๆ ซึ่งเทียบได้กับ “ตัวบท” คือมาตราต่าง ๆ ในพระราชบัญญัติ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ก็ขอชี้ไปที่ข้อความใน “ภิกขุปาติโมกข์” ที่พระท่านประชุมฟังกันทุกกึ่งเดือนดังที่เรารู้กัน ข้อความแต่ละสิกขาบทนั่นแหละคือ “ตัวบท” ที่มีอยู่ในพระวินัยปิฎก

ขอนำมาเสนอเป็นตัวอย่างสิกขาบทหนึ่ง ดังนี้ –

…………………………………………………

โย  ปน  ภิกฺขุ  ภิกฺขูนํ  สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน  สิกฺขํ  อปฺปจฺจกฺขาย  ทุพฺพลฺยํ  อนาวิกตฺวา  เมถุนํ  ธมฺมํ  ปฏิเสเวยฺย  อนฺตมโส  ติรจฺฉานคตายปิ  ปาราชิโก  โหติ  อสํวาโสติ  ฯ  

ที่มา: ปฐมปาราชิกกัณฑ์ วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๒๔

…………………………………………………

หนังสือ วินัยมุขเล่ม ๑ พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แปลไว้ดังนี้ –

…………………………………………………

ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกันของภิกษุทั้งหลายแล้ว ไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอยกำลัง [คือความท้อแท้] จะพึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก ไม่มีสังวาส [คือธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุอื่น].

ที่มา: วินัยมุขเล่ม ๑ หน้า ๒๗

…………………………………………………

ขออธิบายถ้อยความบางแห่งเสริมไว้ในที่นี้ เผื่อจะมีใครสงสัยสำนวนบาลีที่ท่านแปลไว้นั้นหมายความว่าอย่างไร

คำว่า “ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเนียมเลี้ยงชีพร่วมกันของภิกษุทั้งหลายแล้ว” (แปลจากคำว่า สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน) หมายความว่า บวชเป็นพระถูกต้องตามพระธรรมวินัย เป็นที่ยอมรับของภิกษุทั้งหลาย

คำว่า “ไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ถอยกำลัง” (แปลจากคำว่า สิกฺขํ  อปฺปจฺจกฺขาย  ทุพฺพลฺยํ  อนาวิกตฺวา) หมายความว่า ยังไม่ได้บอกให้ใคร ๆ รู้ว่า “อยู่ไม่ไหวแล้ว สึกละนะ”

คำว่า “ไม่มีสังวาส [คือธรรมเป็นเหตุอยู่ร่วมกับภิกษุอื่น]” (แปลจากคำว่า อสํวาโส) หมายความว่า ไม่มีสิทธิ์ที่ครองเพศเป็นภิกษุอีกต่อไป

………………………

ที่นี้ก็มาถึงจุดสำคัญ นั่นคือ เมื่อจบถ้อยคำที่เป็นตัวบทแล้ว ก็จะเป็น “คำจำกัดความ” คือ กำหนดความหมายของคำแต่ละคำในตัวบทว่าหมายถึงอะไร

เทียบให้เห็นชัด ๆ เหมือนคำจำกัดความในพระราชบัญญัติ เช่น –

…………………………………………………

มาตรา ๕ ทวิ ในพระราชบัญญัตินี้

“คณะสงฆ์” หมายความว่า บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร

ที่มา: พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕

…………………………………………………

นี่คือ จำกัดความชัดเจนลงไปว่า คำว่า “คณะสงฆ์” ในพระราชบัญญัตินี้ ใครจะตีความเอาเองหรือเข้าใจเอาเองว่าหมายถึงผู้นั้นผู้นี้ ไม่ได้ ต้องหมายถึงเฉพาะผู้ที่กำหนดไว้ในคำจำกัดความนี้เท่านั้น

คำจำกัดความว่า-ที่ระบุไว้ในสิกขาบทต่าง ๆ ว่า ภิกษุทำอย่างนี้ต้องอาบัตินั้น ภิกษุทำอย่างนั้นต้องอาบัตินี้ (ก็คือที่เรากำลังพูดกันว่าพระวินัยบัญญัติห้ามพระทำอย่างนั้น ห้ามพระทำอย่างนี้) คำว่า “ภิกษุ” หมายถึงใคร ในพระไตรปิฎกมีคำจำกัดความไว้ชัดเจน

คำจำกัดความท่านค่อนข้างยาว ขอยกไปไว้ตอนหน้าครับ

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๙ กันยายน ๒๕๖๗

๑๑:๒๓

…………………………………………………

กิจของสงฆ์ (๑๕)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid0y7SvMfwVUyMXog51ugJitwzURFvjQrcjmjW9kpor5Hk7omNYESJ3ReBx2g5crS8sl

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้