กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๖)
————-
ต้นฉบับในสิกขาบทต่าง ๆ มักจะขึ้นต้นว่า “โย ปน ภิกฺขุ” (แปลว่า “อนึ่ง ภิกษุใด (ทำอย่างนี้ ๆ หรือไม่ทำอย่างนี้ ๆ ต้องอาบัตินี้)”
“ภิกษุ” ในคำว่า “โย ปน ภิกฺขุ” หมายถึงใคร?
ท่านจำกัดความไว้ดังนี้ –
(ข้อความในวงเล็บเป็นคำขยายความของผมเอง)
…………………………………………………
ภิกฺขูติ
คำว่า ภิกษุ หมายความว่า –
ภิกฺขโกติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้ขอ
(คือที่บางคนเอาไปพูดล้อว่า “พระคือขอทาน” คำจำกัดความนี้หมายความว่า คนขอทานก็เรียกว่า “ภิกษุ” ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ภิกษุในพระพุทธศาสนาเป็นคนขอทาน)
ภิกฺขาจริยํ อชฺฌูปคโตติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุเพราะประพฤติภิกขาจริยวัตร
(เทียบกับข้อก่อน “ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้ขอ” ส่อว่า ขอเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีอาชีพขอ แต่ข้อนี้หมายถึงคนที่ขอทานเป็นอาชีพ ก็เรียกว่า “ภิกษุ” ได้)
ภินฺนปฏธโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุเพราะทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
(“ภินฺนปฏ” แปลว่า ผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ซึ่งหมายถึงไตรจีวรของภิกษุซึ่งเป็นผ้าที่ตัดเป็นชิ้นแล้วเอามาเย็บต่อกันเข้า [จีวรพระไม่ใช่ผ้าผืนเดียวทั้งผืน] คนที่นุ่งห่มผ้าที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ก็เรียกว่า “ภิกษุ” ได้)
สามญฺญาย ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ โดยสมญา
(คือใครก็ได้ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ภิกษุ” แม้คนปลอมบวช ใครไม่รู้ก็เรียก “ภิกษุ”)
ปฏิญฺญาย ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุโดยปฏิญญา
(คือคนที่แสดงตัวว่าเป็นภิกษุ เช่นขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว แต่ยังไม่เปลี่ยนเพศ คงแสดงตัวว่าเป็นภิกษุ รวมทั้งคนปลอมบวชก็อาจรับสมอ้างกับใคร ๆ ว่าตนเป็น “ภิกษุ” ได้)
เอหิภิกฺขูติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นเอหิภิกษุ
(คือภิกษุที่พระพุทธองค์ทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง โดยตรัสว่า “เอหิ ภิกฺขุ” แปลว่า “จงเป็นภิกษุเถิด” เท่านี้ก็สำเร็จเป็นภิกษุ มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า เป็นวิธีอุปสมบทในระยะแรกเริ่ม จะประทานวิธีอุปสมบทแบบเอหิภิกขุให้เฉพาะผู้ที่บรรลุธรรมแล้วหรือทรงเล็งเห็นว่าบรรลุธรรมได้แน่นอน และต้องมีบริขารคือบาตรจีวรครบถ้วนแล้วเท่านั้น วิธีอุปสมบทแบบเอหิภิกขุนี้เมื่อมีคณะสงฆ์เป็นหมู่ใหญ่ขึ้นแล้วก็ไม่ได้ประทานให้แก่ผู้ใดอีก แต่ทรงมอบอำนาจให้คณะสงฆ์เป็นผู้บวชให้ คือที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา [การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม] อันเป็นวิธีที่ใช้สืบมาจนทุกวันนี้)
ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปนฺโนติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์
(คือผู้ที่บวชในระยะต้นพุทธกาลซึ่งมีพุทธานุญาตว่า รับไตรสรณคมน์ก็สำเร็จเป็นภิกษุได้ เนื่องจากการบวชในระยะแรกต้องได้รับพุทธานุญาตโดยตรงที่เรียกว่า “เอหิภิกขุ” ใครมีศรัทธาจะบวชก็ต้องเดินทางไปเฝ้าจึงจะได้บวช เพราะเกิดความลำบากเช่นนี้จึงทรงอนุญาตให้บวชด้วยวิธีรับไตรสรณคมน์ คือเพียงมีภิกษุบอกไตรสรณคมน์ให้ก็สำเร็จเป็นภิกษุ วิธีนี้ต่อมาทรงยกเลิกไม่ใช้กับการบวชเป็นภิกษุ แต่ลดลงไปใช้กับการบวชเป็นสามเณรดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)
ภทฺโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้เจริญ
(คือคนที่เป็นคนดี ไม่ใช่คนชั่ว ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนไปจนถึงพระอรหันต์ รวมเรียกว่า “ภทฺโร” ได้ทั้งหมด)
สาโรติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะมีสารธรรม
(คือเป็นคนมีคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในตัว เช่นรักษาศีลเป็นนิตย์)
เสโขติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นพระเสขะ
(คือตั้งแต่กัลยาณปุถุชนไปจนถึงพระอนาคามี)
อเสโขติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นพระอเสขะ
(คือผู้เป็นพระอรหันต์)
สมคฺเคน สงฺเฆน ญตฺติจตุตฺเถน กมฺเมน อกุปฺเปน ฐานารเหน อุปสมฺปนฺโนติ ภิกฺขุ ฯ
ชื่อว่าภิกษุเพราะเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
(คือผู้ที่บวชด้วยวิธีญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ที่ทรงอนุญาตให้สงฆ์เป็นใหญ่ มีอำนาจในการบวช อันเป็นวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)
ตตฺร
บรรดาภิกษุเหล่านั้น
ยฺวายํ ภิกฺขุ สมคฺเคน สงฺเฆน ญตฺติจตุตฺเถน กมฺเมน อกุปฺเปน ฐานารเหน อุปสมฺปนฺโน อยํ อิมสฺมึ อตฺเถ อธิปฺเปโต ภิกฺขูติ ฯ
ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะนี้ ชื่อว่า “ภิกษุ” ที่ทรงประสงค์ในสิกขาบทนี้
ที่มา: ปฐมปาราชิกกัณฑ์ วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ พระไตรปิฎกเล่ม ๑ ข้อ ๒๖

…………………………………………………
เป็นอันว่า สิกขาบทต่าง ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติห้าม “ภิกษุ” ทำอย่างนั้น ๆ ถ้าทำจะมีความผิดอย่างนี้ ๆ ตัวบทภาษาบาลีใช้คำว่า “โย ปน ภิกฺขุ” สรุปว่า พระวินัยนั้นทรงบัญญัติไว้สำหรับ “ภิกษุ”
ภิกษุในพระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาก็มี ๒ ระดับ คือ ระดับที่เป็นพระอริยะ เรียกเป็นคำรวมว่า “อริยสงฆ์” และระดับปุถุชน เรียกว่า “สมมุติสงฆ์”
ถ้าเอาคำว่า อริยสงฆ์และสมมุติสงฆ์ เป็นหลัก ก็คือ พระวินัยนั้นทรงบัญญัติไว้สำหรับ “สงฆ์”
แนวคิดของชาววัดและชาวบ้านรุ่นใหม่บอกว่า พระวินัยนั้นทรงบัญญัติไว้สำหรับอริยสงฆ์ ส่วนสมมุติสงฆ์จะไม่ปฏิบัติก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
“ภิกษุ” ในภาษาของคนสมัยนั้นเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงคนหลากหลายประเภท แต่ตัวบทพระวินัยต้องมีความหมายที่ชัดเจน ท่านจึงกำหนดชัดลงไปในคำจำกัดความว่า “ภิกษุ” ที่หมายถึงในตัวสิกขาบทนั้น —
ไม่ได้หมายถึงคนที่มาขอนั่นขอนี่เป็นครั้งคราว ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนขอทานคือขอเป็นอาชีพ ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนที่นุ่งผ้าปะ ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนที่ชาวบ้านเรียกขานกันเองว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนที่เที่ยวรับสมอ้างกับใคร ๆ ว่า ข้าพเจ้าเป็นภิกษุ
ไม่ได้หมายถึงภิกษุประเภท “เอหิภิกขุ” คือภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพระอริยะ
ไม่ได้หมายถึงภิกษุที่บวชด้วยวิธีรับไตรสรณคมน์ ซึ่งเป็นวิธีบวชพระระยะหนึ่งสมัยพุทธกาลสำหรับคนที่เดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุไม่สะดวก ภิกษุประเภทนี้เท่าที่พบมักปฏิบัติจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยะ
ไม่ได้หมายถึงสาธุชนวิญญูชนคนดีทั่วไป ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนถือศีล ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนบรรลุธรรมระดับโสดาบันไปจนถึงระดับอนาคามี ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
ไม่ได้หมายถึงคนบรรลุธรรมระดับพระอรหันต์ ซึ่งเขาก็เรียกกันว่า “ภิกษุ”
แต่ “ภิกษุ” ที่พระพุทธองค์ทรงหมายถึงในตัวสิกขาบท คือ “ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม” พูดชัด ๆ ก็คือ ภิกษุที่บวชกันอยู่ในปัจจุบันทุกวันนี้นั่นเอง
พูดชัด ๆ ก็คือ พระวินัยนั้นพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้สำหรับสมมุติสงฆ์โดยตรง
ไม่ใช่ทรงบัญญัติไว้สำหรับอริยสงฆ์ ส่วนสมมุติสงฆ์จะไม่ปฏิบัติก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องเสียหาย-อย่างที่ชาววัดและชาวบ้านรุ่นใหม่ร้องบอกแก่สังคม

………………………
แนวคิดที่วิปลาสคลาดเคลื่อนมีรากเหง้ามาจากการไม่ได้ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยให้เข้าใจถูกต้อง
…………………………………………………
ขออนุญาตพูดให้กระทบใจ-ตามสไตล์ทองย้อย ผมเชื่อว่าคำจำกัดความจากพระวินัยปิฎกที่ยกมาแสดงข้างต้นนั้น นักเรียนบาลีบ้านเราไม่เคยศึกษา ทั้งนี้เพราะพระวินัยปิฎกส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในหลักสูตร
นักเรียนบาลีบ้านเราเรียนคัมภีร์เฉพาะที่มีในหลักสูตรเท่านั้น จบแล้วก็เลิก ไม่เคยศึกษาต่อไปให้ถึงพระไตรปิฎก
เจตนาที่พูดให้กระทบใจอยู่เนือง ๆ ก็เพื่อให้เกิดฉุกคิดกันขึ้นมาบ้าง จะได้มีอุตสาหะไปต่อ
ไม่ใช่เป็นบาลียอดด้วนอยู่อย่างทุกวันนี้
…………………………………………………
เวลานี้เป็นอย่างนี้กันมาก ไม่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยให้เข้าใจถูกต้อง แต่ออกมาแสดงความคิดความเห็น ครั้นตรวจสอบสืบสวนเข้าก็ไม่รู้ว่าความคิดความเห็นนั้นมีหลักฐานที่มาที่ไปอยู่ที่ไหน กลายเป็นคิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง พูดเอาเอง
แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นก็คือ พอมีใครทักท้วงขึ้น-อย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี้-ก็จะมีคนออกมาบอกว่า ดีแต่เที่ยวจับผิดชาวบ้าน ทำเป็นรู้ดีกว่าพระ
แทนที่จะช่วยกันศึกษาเรียนรู้ตรวจสอบแล้วบอกกล่าวว่าอะไรเป็นอะไร กลายเป็นออกมาปกป้องคนที่ไม่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยให้แสดงความคิดความเห็นที่วิปลาสคลาดเคลื่อนต่อไปได้ตามสบาย
ช่วยกันหาความรู้ที่ถูกต้อง
ช่วยกันให้ความรู้ที่ถูกต้อง
เห็นใครพูดเพี้ยนเขียนผิด-แม้แต่ที่ผมกำลังพูดอยู่นี่-ช่วยกันทักท้วงเตือนติงด้วยน้ำจิตอันประกอบด้วยเมตตาไมตรี
อะไร ๆ มันก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นครับ
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๙ กันยายน ๒๕๖๗
๑๖:๕๓
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๖)
…………………………………………………
