กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๑๘)
————-
ต่อไปเป็นแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัย ข้อที่ ๕
………………………
๕ การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด
ปล่อยให้พระประพฤติผิด คือการนับถือพระ
………………………
แนวคิดนี้สรุปมาจากพฤติกรรมของชาววัดชาวบ้านสมัยนี้ ชาวบ้านเอาเรื่องที่พระประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยมาพูดมาวิจารณ์ จะถูกรุมประณามทันที่ว่า ดีแต่เที่ยวจับผิดพระ พระมีศีล ๒๒๗ ตัวเองศีล ๕ ยังรักษาไม่ได้ ยังจะมาว่าพระ
ตรงกันข้าม พระประพฤติเสียหายอย่างไร ก็นิ่งเฉย ไม่พูดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ใครมีท่าทีแบบนี้จะได้รับยกย่องว่าเป็นคนเคารพพระ นับถือพระ เป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ดี
ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นที่ผมเคยเขียนไว้ ขอยกมาให้อ่านกันตรงนี้ดังนี้ –
………………………
เวลานี้ อาการที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในสังคมของเราก็คือ การเฉยเมยต่อเรื่องถูกผิด
ใครจะเสนอเรื่องอะไรสู่สาธารณะ ผิดถูกอย่างไรไม่รับรู้
รับรู้สาร
แต่ไม่รับรู้ความถูกผิดที่อยู่ในสาร
ใครจะเขียนผิด สะกดผิด ใช้คำผิด พูดผิด ทำผิด ตลอดจนคิดผิดในเรื่องใด ๆ ทุกคนจะปล่อยเลยเฉยผ่าน ไม่ทัก ไม่ท้วง ไม่ติง ไม่เตือน ไม่ว่าอะไรกันทั้งนั้น
ฝ่ายผู้นำสารมาสื่อ มาโพสต์ มาเผยแพร่ ก็มักกระทำอาการคล้ายกับที่คำไทยเรียกว่า “สะบัดตูด” คือบอกแล้วบอกเลย เขียนผิดพูดผิด ทำอะไรผิดพลาดไว้บ้างหรือเปล่า ไม่คิดจะย้อนกลับมาตรวจสอบทบทวนใด ๆ
เรื่องผิดก็ถูกปล่อยให้ผิดอยู่อย่างนั้น ไม่แก้
พอนานเข้า ผิดกันมากเข้า ทีนี้กลายเป็นข้ออ้าง-ที่ไหน ๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้
หนักเข้า ผิดกลายเป็นถูก บางทีอ้างหน้าตาเฉยว่า-ถ้าผิดก็ต้องมีคนทักท้วงแล้วสิ นี่ไม่เห็นมีใครว่าอะไรนี่
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ การปล่อยเลยเฉยผ่านกลายเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องถูกต้อง เป็นมารยาทที่ดี
แต่ที่ร้ายสุดก็คือ ถ้าใครไปทักท้วงเข้า จะถูกรุมประณามทันทีว่า “ดีแต่เที่ยวจับผิดชาวบ้าน”
ใครก็ตามที่คิดคำว่า “จับผิดชาวบ้าน” ขึ้นมา ต้องนับว่าสุดยอด พอได้ยินคำนี้-“จับผิดชาวบ้าน”-ทุกคนก็หยุดเหมือนถูกนะจังงัง
เวลานี้ เห็นใครทำผิด เห็นอะไรผิด แล้วปล่อยเลยเฉยผ่าน กำลังกลายเป็นค่านิยม คือเป็นอย่างนี้กันทั่วไปหมด
ใครทักท้วงกลายเป็นพวกจับผิดชาวบ้านไปหมด
แล้วผลเป็นอย่างไร?
ผลที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานี้ก็คือ ถ้าเป็นการใช้ภาษาสื่อสาร ขยะภาษาล้นหน้าเฟซบุ๊ก ล้นหน้าโลกโซเชียล
แล้วก็-ไม่มีใครสักคนที่รู้ตัวว่า-นั่นแหละฝีมือกูเอง!
นี่เฉพาะเรื่องการใช้ภาษา
ยังไม่นับ-ทัศนะวิปริต แนวคิดวิปลาส ความประพฤติผิดพลาดจากพระธรรมวินัย ที่ระบาดในฐานะ “เสรีภาพในการเห็นต่าง”

………………………
เมื่อวันก่อน มีท่านผู้หนึ่งโพสต์ข้อความอ้างถึงคำบาลีว่า “จตุราสีติ สหสฺสานิ” (บาลีคำนี้แปลว่า “แปดหมื่นสี่พัน”) ท่านแปลว่า “พระธรรมจำนวนสี่ราศี มีหัวข้อหมวดพระธรรมเรื่อง อริยสัจสี่ เป็นต้น”
คาดเดาว่า “สี่ราศี” ท่านแปลมาจาก “จตุราสีติ”
จตุ = สี่
ราสี = ราศี
จตุราสี = สี่ราศี
มาในมาดใหม่ ไม่ทราบว่าเรียนมาจากตำราเล่มไหน
แล้วก็อีกวันหนึ่ง ผมเห็นโพสต์ของท่านผู้หนึ่งลงภาพข้อความมีเนื้อหาเป็นการบรรยายธรรม ข้อความตอนหนึ่งว่า –
………………………………………………….
… การเพ่ง เกร็ง บังคับเพื่อให้เวทนาที่เราไม่ชอบหายไป ด้วยอำนาจของโทมนัสจึงเกิดขึ้น อตฺตกิลมถานุโยโค การยึดติดในอัตตาเข้ามา …
………………………………………………….
นั่นคือ แปล “อตฺตกิลมถานุโยโค” ว่า “การยึดติดในอัตตา”
นี่ก็มาในมาดใหม่อีก
ก็-เช่นเคย ไม่มีใครทักท้วงเตือนติง เดี๋ยวโดน – “ดีแต่เที่ยวจับผิดชาวบ้าน”
ต่อไปคงมีนักอธิบายธรรมะบอกว่า มรรคมีองค์แปดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้นไม่ถูกต้อง มรรคต้องมีองค์เก้าจึงจะถูกต้อง เพราะเลข ๙ เป็นเลขมงคล
และทุกคนก็คงเฉย-ตามค่านิยม-การไม่ทักท้วงถือกันว่าเป็นมารยาทที่ดี
ทีนี้พระพุทธศาสนาก็เจริญไม่รู้เรื่องกันละ!!
………………………
ผมกำลังจะบอกว่า เห็นใครทำผิดแล้วไม่ทักท้วง นั่นคือการสมรู้ร่วมคิดกันทำผิด
หลักของการทักท้วงก็คือ ตั้งจิตเป็นไมตรี หวังดีหวังเจริญต่อกัน ไม่มีเจตนากดข่มเหยียบย่ำ ทำด้วยความสุภาพ และรู้กาลเทศะ
ในกรณีที่ทำกับพระ นอกจากยึดหลักที่ว่านี้แล้ว ที่ต้องยึดไว้เป็นพิเศษก็คือ-ต้องไม่หย่อนความเคารพ
ไม่หย่อนความเคารพ-ไม่ได้หมายความว่า ทักท้วงเตือนติงพระไม่ได้ เห็นพระประพฤติผิดห้ามทักท้วง
ทักท้วงพระได้ เตือนติงพระได้ แต่ต้องทำด้วยความสุภาพ และรู้กาลเทศะ
ท่านผู้หนึ่งโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ ท่านเขียนดีมาก ผมคัดลอกไว้ แต่ลืมชื่อท่าน ขออนุญาตยกมาปิดท้าย
ท่านเขียนไว้ดังนี้ –
………………………………………………….
ในการทำงานรับใช้พระสงฆ์นั้น ต้องตั้งใจไว้ว่า
จะเข้าไปเพียงเป็นผู้รับใช้พระสงฆ์
เพียงเป็นผู้อำนวยความสะดวก
เพียงเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้พระสงฆ์เท่านั้น
อย่าได้มีจิตคิดตีตนเสมอพระสงฆ์
อย่าได้ดูหมิ่นสบประมาทพระสงฆ์
หรือข่มเหงใจพระสงฆ์ด้วยความรู้ความสามารถที่เรามีอย่างเด็ดขาด
………………………………………………….
หัวข้อ-การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ผมยังมีความคิดเห็นต่อไปอีก
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๒ กันยายน ๒๕๖๗
๑๘:๐๖
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๑๘)
…………………………………………………
