กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๒๐)
————-
เสนอแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยมาแล้ว ๕ ข้อ
๑ พระต้องช่วยสังคม
๒ คำสั่งหมอสำคัญกว่าพระธรรมวินัย
๓ ศีลของพระท่านบัญญัติสำหรับอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ไม่ปฏิบัติก็ไม่เสียหาย
๔ ยอมให้พระละเมิดสิกขาวินัยได้ คือคนใจกว้าง เกณฑ์ให้พระปฏิบัติตามสิกขาวินัย คือคนใจแคบ
๕ การตำหนิพระคือการจ้องจับผิด ปล่อยให้พระประพฤติผิดคือการนับถือพระ
ต่อไปเป็นข้อที่ ๖
………………………
๖ พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว
ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก
………………………
แนวคิดนี้ พูดตรง ๆ ก็คือ ชาวบ้านอยู่ส่วนชาวบ้าน พระอยู่ส่วนพระ ไม่ต้องมายุ่งกัน
รากเหง้าของแนวคิดนี้เกิดจากพระประพฤตินอกพระธรรมวินัย ชาวบ้านเอาไปติเตียน พระไม่พอใจ จึงบอกว่า ชาวบ้านอยู่ส่วนชาวบ้าน พระอยู่ส่วนพระ ไม่ต้องมายุ่งกัน
พูดภาษานักเลงปากท่อ ไม่ต้องเหยียบเบรก-ชาวบ้านอย่ามาเสือกเรื่องของพระ
จับเข่าคุยกันตรง ๆ จะต่างฝ่ายต่างอยู่ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันใช่ไหม?
ไม่ต้องคิดมากเลย ตอบได้ทันทีว่า ไม่ใช่ ไม่ได้
พระไปจากชาวบ้าน ไม่ได้มาจากดาวอังคาร ไม่ได้เป็นพระตั้งแต่เกิด
เป็นพระแล้วก็ยังต้องอิงอาศัยอยู่กับชาวบ้าน
เพราะฉะนั้น จะต่างคนต่างอยู่ไม่ได้
ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องรับรู้ความเป็นไปของกันและกัน
รับรู้ เกี่ยวข้องกัน ในกรอบขอบเขตที่เหมาะสม
รับรู้และเกี่ยวข้อง แต่ไม่ถึงกับต้องเข้าไปก้าวก่าย
และคำว่า “ก้าวก่าย” นั่นเองก็ต้องจำกัดความให้ตรงกันว่า แค่ไหนอย่างไรเป็นการก้าวก่าย แค่ไหนอย่างไรไม่ใช่ก้าวก่าย
อย่างในตัวแนวคิดข้างต้นที่ว่า-พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก-ต้องพูดกันก่อนว่า แค่ไหนอย่างไรเป็นการเสือก แค่ไหนอย่างไรไม่ใช่เสือก
ผมเข้าใจว่า ผู้ตั้งแนวคิดนี้คงคิดแต่เพียงว่า พระประพฤติเสียหายชาวบานไม่ต้องเอาไปวิจารณ์ แต่ถ้าพระประพฤติดีปฏิบัติชอบ ชาวบ้านเอาไปชื่นชมยินดีได้
เรื่องดี ยุ่งได้
เรื่องเสีย ไม่ต้องยุ่ง
ต้องการแบบนั้น ใช่หรือไม่
………………………
ว่ากันตามจริง ชาวบ้านไทยก็พอรู้กันอยู่ว่า อะไรที่เป็นกิจของสงฆ์ชาวบ้านจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามวุ่นวายด้วย
แต่ที่มีเรื่องวุ่นว่ายมักเป็นเรื่องที่พระประพฤติการบางอย่างที่ชาวบ้านเห็นว่าไม่เหมาะสม หรือเกิดกรณีบางอย่างที่ชาวบ้านเห็นว่าพระควรจะทำอย่างนี้ ๆ แต่ท่านก็ไม่ทำ กลับไปทำอย่างโน้น ๆ ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าไม่ควรทำ
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นที่มาของคำว่า “พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก”
อย่างกรณีพระกราบแม่ ทุกฝ่ายต่างก็เห็นว่าไม่ถูกต้อง (แม้ส่วนมากจะไม่รู้ว่ามีหลักพระวินัยบัญญัติห้ามไว้) เจ้าคณะปกครองท่านก็จัดการ-ตามที่ปรากฏว่าให้ลาสิกขาสิกขาไปแล้ว ทุกฝ่ายก็สบายใจ ตรงกับที่บอกว่า “พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว”
แต่ถ้าเจ้าคณะปกครองท่านไม่ทำอะไรเลย หรือกรณีอื่น ๆ ที่ปรากฏว่าเจ้าคณะปกครองไม่ได้ดูแลแก้ไขอย่างที่ควรจะทำตามหน้าที่ จะให้ฆราวาสญาติโยมชาวบ้านทำอย่างไร?
โยมมีหน้าที่ใส่บาตรก็ใส่ไป
อย่ามายุ่งเรื่องของพระ
ฆราวาสญาติโยมชาวบ้านทำได้แค่นั้นเองหรือ?
………………………

เรื่องราวที่ท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์ ปรากฏว่าสมัยพุทธกาลถ้ามีพระประพฤติการที่ไม่เหมาะสม ชาวบ้านก็จะกระทำกิริยาที่คำบาลีบรรยายว่า –
…………………………………………………
มนุสฺสา อุชฺฌายนฺติ ขียนฺติ วิปาเจนฺติ
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า –
กถํ หิ นาม สมณา สกฺยปุตฺติยา …
ไฉนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร … (จึงได้ประพฤติเช่นนี้ ๆ เล่า)
…………………………………………………
การตำหนิติเตียนเช่นนี้เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทหลายต่อหลายข้อ
ไม่มีใครสมัยนั้นออกมาบอกว่า … พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรท่านมีพระพุทธองค์ทรงปกครองดูแลอยู่แล้ว ฆราวาสอย่าเข้าไปเสือก …
………………………
ผมไม่แน่ใจว่า ชาวบ้านรุ่นใหม่เข้าใจหรือเปล่าว่า ที่ว่า “พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลอยู่แล้ว” นั้น “เจ้าคณะปกครองดูแล” ของพระคือใคร เพราะฉะนั้น ขอบอกกล่าวเป็นความรู้ดังนี้
………………………
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ เริ่มจากมีวัด มีพระในสังกัด มีเจ้าอาวาส > เจ้าคณะตำบล > เจ้าคณะอำเภอ > เจ้าคณะจังหวัด > เจ้าคณะภาค > เจ้าคณะใหญ่ > มหาเถรสมาคม
ตำบล อำเภอ จังหวัด อนุโลมตามเขตการปกครองของทางราชการ
แต่ “ภาค” นั้น คณะสงฆ์กำหนดเองเป็นพิเศษ คือรวมหลาย ๆ จังหวัด (ตามข้อเท็จจริงคือ ตั้งแต่ ๓ ถึง ๖ จังหวัด) ที่มีเขตติดต่อกันเข้าเป็นภาค มีทั้งหมด ๑๘ ภาค เรียกเป็นตัวเลข คือ ภาค ๑ ภาค ๒ … (ภาคหมายเลขอะไรอยู่ในพื้นที่จังหวัดไหนบ้าง ใครอยากรู้ก็ต้องไปหาความรู้เอาเอง-นี่คือวิธีคิดของคณะสงฆ์ไทยสมัยนี้!)
ส่วน “เจ้าคณะใหญ่” อนุโลมตามภาคทางภูมิศาสตร์ของทางราชการ คือ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก เจ้าคณะใหญ่หนใต้ (ไม่มีหนตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเอาไปรวมอยู่ในหนตะวันออก)
ที่ว่ามานี้เป็นการปกครองคณะสงฆ์มหานิกาย ส่วนคณะสงฆ์ธรรมยุตและคณะสงฆ์อื่นแยกการปกครองเป็นต่างหาก เฉพาะคณะสงฆ์ธรรมยุตใช้โครงสร้างเดียวกัน คือมีเจ้าคณะต่าง ๆ เหมือนกัน แต่จำนวนน้อยกว่า เช่น พระสังฆาธิการ ๑ รูป อาจเป็นเจ้าคณะอำเภอหลายอำเภอ หรือเจ้าคณะจังหวัดหลายจังหวัดเป็นต้น
ที่ควรทราบเป็นความรู้ก็คือ เจ้าคณะใหญ่ของคณะสงฆ์มหานิกายมี ๔ รูป แยกเป็นหนต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น แต่เจ้าคณะใหญ่ของคณะสงฆ์ธรรมยุตมีรูปเดียว เรียกว่า “เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต”
………………………
ตามโครงสร้างระบบเจ้าคณะปกครองดังแสดงมานี้ ถ้ามีพระประพฤติชั่ว ท่านทำกันอย่างไร?
พระในสังกัด (มักเรียกกันว่า “พระลูกวัด”) ประพฤติชั่ว เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสที่จะต้องจัดการ
ถ้าเจ้าอาวาสไม่จัดการ ถามว่าจะทำอย่างไร?
และถ้าเจ้าอาวาสก็ประพฤติชั่วด้วย จะทำอย่างไร?
มีพระในวัดประพฤติชั่ว ถ้าเจ้าอาวาสไม่จัดการ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะตำบลที่จะต้องจัดการกับเจ้าอาวาส
ถ้าเจ้าคณะตำบลไม่จัดการ ถามว่าจะทำอย่างไร?
และถ้าเจ้าคณะตำบลก็ประพฤติชั่วด้วย จะทำอย่างไร?
ถ้าเจ้าคณะตำบลไม่จัดการ หรือเจ้าคณะตำบลก็ประพฤติชั่วด้วย ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าคณะอำเภอที่จะต้องจัดการกับเจ้าคณะตำบล
ไล่ขึ้นไปตามลำดับตามโครงสร้างการปกครองนี้ จนถึงมหาเถรสมาคม
ถามว่า ถ้ามหาเถรสมาคมไม่จัดการ จะทำอย่างไร?
จะเห็นได้ว่า แนวคิดที่ว่า-พระท่านมีเจ้าคณะปกครองดูแลกันอยู่แล้ว ก็จะมาพบจุดจบตรงนี้ คือตรงที่ว่า-ถ้าเจ้าคณะผู้ปกครอง-จนถึงที่สุด มหาเถรสมาคม-ไม่จัดการ ก็ยากที่จะมีใครสามารถไปทำอะไรได้
นอกจากนั่งทำตาปริบ ๆ ดูพระที่ประพฤติชั่วยังคงเป็นพระต่อไปได้ตามสบาย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๔ กันยายน ๒๕๖๗
๑๗:๔๒
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๒๐)
…………………………………………………
