กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๒๑)
————-
ต่อไปนี้จะเป็นแนวคิดชาววัดชาวบ้านรุ่นใหม่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยข้อสุดท้ายที่ประมวลมาโดยประสงค์ –
………………………
๗ อาบัติก็แค่ทุกกฏ
………………………
สั้น ๆ แค่นี้ ความหมายก็คือ เมื่อล่วงละเมิดสิกขาบทคือประพฤติผิดศีล ต้องอาบัติคือมีความผิด พระสมัยนี้นิยมอ้างว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ”
หาความรู้เรื่อง “อาบัติ” กันก่อน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ บอกไว้ว่า –
…………………………………………………
อาบัติ : (คำนาม) โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ มี ๗ อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาษิต มีโทษ ๓ สถาน คือ
๑. โทษสถานหนัก เรียกว่า ครุโทษ หรือ มหันตโทษ ทําให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติขาดจากความเป็นภิกษุ ได้แก่ อาบัติปาราชิก ซึ่งเรียกว่า ครุกาบัติ
๒. โทษสถานกลาง เรียกว่า มัชฌิมโทษ ทําให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติต้องอยู่กรรมก่อนจึงจะพ้นโทษ ได้แก่ อาบัติสังฆาทิเสส
และ ๓. โทษสถานเบา เรียกว่า ลหุโทษ ทําให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติที่ตํ่ากว่าอาบัติสังฆาทิเสสต้องปลงอาบัติ คือ บอกอาบัติของตนแก่ภิกษุด้วยกัน ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ และทุพภาษิต ซึ่งเรียกว่า ลหุกาบัติ. (ป., ส. อาปตฺติ).
…………………………………………………
อาบัติมี ๗ ชื่อ มีความหมายตามลักษณะความผิด ผมเคยแปลชื่ออาบัติเพื่อให้เข้าใจความหมายอย่างง่าย ๆ ตามตัวหนังสือ ดังนี้ –
(๑) ปาราชิก = “แพ้ไล่ออก”
(๒) สังฆาทิเสส = “ต้องให้สงฆ์สั่งสอน”
(๓) ถุลลัจจัย = “เลวอย่างหยาบ”
(๔) ปาจิตตีย์ = “ทำดีตกแตก”
(๕) ปาฏิเทสนียะ = “รับสารภาพ”
(๖) ทุกกฏ = “มารยาททราม”
(๗) ทุพภาสิต = “ปากเสีย”
อาบัติแต่ละอย่างเกิดจากการทำความผิดที่มีน้ำหนักความผิดแตกต่างกัน ที่ควรรู้พอเป็นพื้นฐานเบื้องต้นคือ –
อาบัติปาราชิก เกิดจากการทำความผิด ๔ กรณี คือ ร่วมเพศ ขโมยทรัพย์สิน ฆ่าคน อวดอ้างว่าได้บรรลุธรรม
อาบัติสังฆาทิเสส เกิดจากการทำความผิด ๑๓ กรณี เช่น สำเร็จความใคร่ กอดจูบกับสตรีเพศ เป็นต้น
อาบัติปาจิตตีย์ เกิดจากการทำความผิด ๑๒๒ กรณี เช่น รับเงิน (money) ไว้เป็นของตน ฉันอาหารหลังเที่ยงวัน เป็นต้น
อาบัติอื่นนอกจากนี้เกิดจากการทำความผิดมากมายหลายกรณี โดยเฉพาะอาบัติทุกกฏ เกิดจากการทำความผิดเป็นร้อย ๆ กรณี
อาบัติทุกกฎเป็นอาบัติเบา คือน้ำหนักความผิดน้อยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับอาบัติปาราชิก
ถ้าเทียบกับความผิดทางบ้านเมือง อาบัติปาราชิกเทียบได้กับความผิดที่มีโทษประหารชีวิต อาบัติทุกกฏเทียบได้กับลงโทษด้วยวิธี “ว่ากล่าวตักเตือน” น้ำหนักความคิดต่างกันมากมาย
ที่อ้างว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ” นั้น แรก ๆ ผู้อ้างเช่นนั้นมุ่งหมายถึงการทำความผิดที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติทุกกฏจริง ๆ แต่เมื่อนานเข้า ทำผิดบ่อยเข้า ก็เกิดการชินชา จากอาบัติทุกกฏก็ค่อย ๆ ลามไปถึงอาบัติอื่น ๆ อีกด้วย
เพราะฉะนั้น คำว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ” จึงมีความหมายว่า ไม่เห็นความสำคัญของศีล อยากจะล่วงละเมิดอย่างไรก็อาจทำได้ทุกอย่าง เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย
คำว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ” นั้น สวนทางกับพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในวินัยปิฎกว่า “อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี” แปลความว่า “โทษเพียงเล็กน้อยก็เห็นเป็นภัยที่น่ากลัว”
หมายความว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ไม่ดูหมิ่นสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาบัติก็แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ความผิดบกพร่องก็เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
พระภิกษุที่ดีจะไม่คิดแบบนี้ แต่จะเห็นว่า พระธรรมวินัยทุกข้อทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องสำคัญ สิกขาบทไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไรเป็นเรื่องควรยำเกรงทั้งสิ้น ไม่กล้าล่วงละเมิด
“อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี” เป็นข้อความบรรยายถึง —
– ลักษณะของภิกษุผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเพื่อขัดเกลาตนเอง
– คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของภิกษุที่คณะสงฆ์ควรแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ อันเป็นกิจของพระศาสนา เช่น ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนภิกษุณี เป็นพระวินัยธร ทำหน้าที่ตัดสินอธิกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น
– คุณสมบัติของภิกษุผู้นำมาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใสของประชาชน
ข้อความเต็ม ๆ ของคุณสมบัติข้อนี้ มีดังนี้ –
…………………………………………………
สีลวา โหติ ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปนฺโน อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ
แปลถอดความดังนี้ –
สีลวา โหติ
เป็นผู้ทรงศีล
ปาติโมกฺขสํวรสํวุโต วิหรติ
สำรวมระวังอยู่ในพระปาติโมกข์
อาจารโคจรสมฺปนฺโน
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร (คือความประพฤติปฏิบัติอันสมควรแก่ภูมิเพศบรรพชิต)
อนุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี
โทษผิดเพียงเล็กน้อยก็เห็นว่าเป็นภัยน่ากลัวไม่กล้าล่วงละเมิด
สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ
ศึกษาปฏิบัติอย่างมั่นคงอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย
ที่มา: สิกขาบทที่ ๑ โอวาทวรรค ปาจิตตียกัณฑ์ วินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๒
พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๔๐๗ และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง
…………………………………………………

เป็นอันว่า จากข้ออ้าง “อาบัติก็แค่ทุกกฏ” บัดนี้ก็ขยายตัวขึ้นไปถึงอาบัติอื่นด้วย ที่เห็นชัด ๆ ก็เช่นอาบัติปาจิตตีย์หลายสิกขาบท ด้วยเหตุผลที่บอกกันว่า “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
จาก “อาบัติก็แค่ทุกกฏ” นำไปสู่บทสรุป “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
ผลเสียที่เกิดขึ้นจากแนวคิดนี้ซึ่งผมเชื่อว่ายังไม่มีใครมองเห็น นั่นก็คือ ความคิดอ่านหรือความอุตสาหะที่จะหาทางไม่ต้องล่วงละเมิดหรือทำผิดในเรื่องต่าง ๆ ก็ไม่เกิดมีขึ้น
พูดสั้น ๆ ไม่มีความคิดหาวิธีหรือหาคนมาช่วยไม่ให้ต้องอาบัติ
ยกตัวอย่าง พระตัดหญ้า มีความผิด ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๑ แห่งภูตคามวรรค (ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติยํ. = ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์ – ปาจิตติยกัณฑ์ มหาวิภังค์ ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๓๕๔)
ถ้ามี “อารามิก” คือคนวัดมาช่วยตัดให้ พระก็ไม่ต้องตัดหญ้าเอง ก็ไม่ต้องทำผิด ไม่ต้องอาบัติ
แต่พระก็ตัดหญ้าเอง เพราะเห็นว่า “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย” มิหนำซ้ำใครเห็นเข้าก็มีแต่ชื่นชมยินดีว่าพระท่านขยัน ดูแลวัดไม่ให้รก
ในเมื่อทำเองก็ได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มีคนชมอีกด้วย เรื่องอะไรจะต้องไปลำบากหาใครมาช่วยทำ
เห็นหรือยังว่า ความคิดที่จะหาคนมาช่วยทำเพื่อพระจะได้ไม่ต้องอาบัติ ก็ไม่มีเพราะอย่างนี้
พระรับเงินเป็นของตัวเอง พระไปซื้อของเอง พกเงิน-จ่ายเงินเอง มีความผิด ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ (ตามสิกขาบทไหน ใครขยัน ช่วยผมหาหน่อย)
ในเมื่อทำเองก็ได้ เพราะอะไร เพราะ “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย” พระก็ทำเอง ความคิดที่จะหาทางหาวิธีให้มีไวยาวัจกรมาช่วยทำแทนตามพุทธานุญาตก็จึงไม่มี
นี่คือ-เพราะเห็นว่าทำเองไม่ใช่เรื่องเสียหาย จึงไม่เคยคิดจะหาวิธีแก้ปัญหาไม่ให้ต้องทำผิด
ใช้วิธีคิดว่า-ทำผิดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สบายกว่ากันเยอะเลย
จากอาบัติทุกกฎไม่ใช่เรื่องเสียหาย วันนี้ขยายออกไปถึงอาบัติปาจิตตีย์ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
วันตอไปในอนาคต (อีกไม่นาน) ทำผิดถึงอาบัติสังฆาทิเสส เช่น สำเร็จความใคร่ กอดจูบกัน ก็จะอ้างกันว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ต่อไปอีก รวมเพศกัน ก็อ้างว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ต่อไปอีก มีเมียเป็นตัวเป็นตน ก็อ้างว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งจะมีในอนาคตปลายพระศาสนา ที่ท่านเรียกว่า “โคตรภูสงฆ์”
โคตรภูสงฆ์คือพระมีครอบครัว มีบ้านเรือน มีลูกเมีย ประกอบกิจการทำมาหากินเหมือนชาวบ้าน ก็ด้วยข้ออ้างที่ว่า “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย” นี่เอง
วันนี้ ยังไม่ถึงกับเป็นอย่างนั้น เพราะคนที่ศึกษาเรียนรู้หลักพระธรรมวินัยยังพอมีอยู่ คนที่รู้จักผิดชอบชั่วดีมีความละอายแก่ใจยังมีมากอยู่
แต่วันหน้ามีแน่ ขอยืนยัน วันหน้ามีแน่
ใครที่อ้างว่า “อาบัติก็แค่ทุกกฏ”
ใครที่อ้างว่า “ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม โปรดทราบเถิดว่า ท่านเริ่มนับ ๑ ให้ “โคตรภูสงฆ์” แล้วตั้งแต่วันนี้
รออีกไม่นานก็ถึง ๕๐๐๐!!
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๑๕ กันยายน ๒๕๖๗
๑๔:๐๐
…………………………………………………
กิจของสงฆ์ (๒๑)
…………………………………………………
