บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๓)

————-

ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ คณะสงฆ์ไทยแบ่งงานออกเป็น ๔ สาย เรียกว่า “องค์การ” ตามความในมาตรา ๓๓ ดังนี้ –

…………………………………………………

      มาตรา ๓๓ ให้จัดระเบียบบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลางเป็นองค์การต่าง ๆ คือ 

              (๑) องค์การปกครอง

              (๒) องค์การศึกษา

              (๓) องค์การเผยแผ่

              (๔) องค์การสาธารณูปการ

…………………………………………………

ต่อมา มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ ออกมายกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ ไม่ได้ระบุ “องค์การ” ต่าง ๆ ไว้ในตัวพระราชบัญญัติ แต่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ (มาตรานี้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕) มีความดังนี้ –

…………………………………………………

      มาตรา ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะกรรมการ หรือคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ตามมติมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยพระภิกษุหรือบุคคลอื่นจำนวนหนึ่ง มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องที่จะเสนอต่อมหาเถรสมาคมและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหาเถรสมาคมมอบหมาย โดยขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม

      การจัดให้มีคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ การแต่งตั้งกรรมการหรืออนุกรรมการ การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการหรืออนุกรรมการ และระเบียบการประชุม ให้เป็นไปตามระเบียบมหาเถรสมาคม

…………………………………………………

เมื่อตามไปดู “ระเบียบมหาเถรสมาคม” ก็พบว่า มีระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๙ ข้อ ๓ กำหนดไว้ดังนี้ –

…………………………………………………

      ข้อ ๓ ให้มีคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม ดังนี้

             (๑) คณะกรรมการฝ่ายปกครอง

             (๒) คณะกรรมการฝ่ายศาสนศึกษา

             (๓) คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์

             (๔) คณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนา

             (๕) คณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการ

             (๖) คณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์

…………………………………………………

เป็นอันว่า “กิจของสงฆ์” ๔ อย่าง ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ กลายเป็นกิจของสงฆ์ ๖ อย่าง ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๕๐๕ คือเพิ่มการศึกษาสงเคราะห์ และสาธารณสงเคราะห์ และเปลี่ยนชื่อจาก “องค์การ” เป็น “คณะกรรมการฝ่าย”

………………………

ปัญหาที่ยังไม่ชัดเจนก็คือ งานแต่ละสายมีกรอบขอบเขตแค่ไหน และอย่างไร

เช่น งานสาธารณูปการคืองานอะไร ทำอะไรทำอย่างไรคือขอบเขตของงานสาธารณูปการ ทำอะไรทำอย่างไรคือนอกขอบเขตของสาธารณูปการ

งานสาธารณสงเคราะห์คืองานอะไร ทำอะไรทำอย่างไรคือขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์ ทำอะไรทำอย่างไรคือนอกขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์

พูดตรง ๆ พระไปช่วยชาวบ้านไถนา ช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าว ช่วยชาวบ้านปลูกบ้าน อยู่ในขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์ หรือนอกขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์

พระตั้งโรงครัว หุงข้าวเอง ทำกับข้าวเอง ขนเอาไปแจกชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยเอง อยู่ในขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์ หรือนอกขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์

งานสาธารณสงเคราะห์ พระทำอะไรได้

งานสาธารณสงเคราะห์ พระทำอะไรไม่ได้

เรื่องนี้ต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจนจากมหาเถรสมาคม 

ไม่ใช่พระแต่รูป วัดแต่ละวัดคิดเอาเองเข้าใจเอาเอง

มหาเถรสมาคมมีคำจำกัดความหรือยัง?

………………………

ในระเบียบมหาเถรสมาคมที่อ้างถึงไม่ได้กำหนดรายละเอียดหรือขอบเขตของการปฏิบัติที่ชัดเจน เพียงแต่บอกไว้กว้าง ๆ 

ขอยกตัวอย่างมาให้ดูสักงานหนึ่ง คือสาธารณสงเคราะห์ ระเบียบข้อ ๑๖ กำหนดไว้ดังนี้ –

…………………………………………………

      ข้อ ๑๖ คณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้

             (๑) กำกับ สอดส่อง ดูแล แนะนำ การสาธารณสงเคราะห์ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม เกิดประโยชน์ต่อพระศาสนาและสังคม

             (๒) สนับสนุนและส่งเสริมให้มีการสาธารณสงเคราะห์ ตามความเหมาะสมแก่ท้องถิ่น

             (๓) กำกับ ดูแล การสาธารณสงเคราะห์ ให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร

             (๔) เสนอมหาเถรสมาคม เพื่อให้ตรากฎ ออกข้อบังคับ วางระเบียบ ออกคำสั่ง หรืออกประกาศของมหาเถรสมาคม

             (๕) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่มหาเถรสมาคมมอบหมาย

…………………………………………………

ขอให้สังเกตว่า ไม่ได้บอกเลยว่า ทำอย่างไรทำแค่ไหนคือขอบเขตของสาธารณสงเคราะห์ ไม่ได้บอกด้วยซ้ำไปว่า งานสาธารณสงเคราะห์คืองานเช่นไร (อาจมีบอกไว้ในที่อื่น แต่ผมยังตามไปดูไม่เจอ)

ได้แต่บอกกว้าง ๆ – กำกับ สอดส่อง ดูแล แนะนำ … 

แต่ที่ควรสังเกตเป็นพิเศษคือที่บอกว่า “กำกับ ดูแล การสาธารณสงเคราะห์ ให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร”

แปลว่า การสาธารณสงเคราะห์นั้น –

อะไรที่ขัดต่อพระธรรมวินัย ทำไม่ได้

อะไรที่ขัดต่อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร ทำไม่ได้

………………………

กิจของสงฆ์ของเดิมตามคัมภีร์ –

“คันถธุระ” คือทำอะไร ท่านมีคำอธิบาย

“วิปัสสนาธุระ” คือทำอะไร ท่านก็มีคำอธิบาย

“สังคหธุระ” ที่มีผู้เพิ่มเข้ามาและอ้างว่าเป็นกิจของสงฆ์ข้อที่ ๓ จึงต้องมีคำอธิบาย และต้องตกลงกันให้ชัดเจนแน่นอนว่า คือทำอะไร แค่ไหน อย่างไร

ผู้ที่จะกำหนดข้อตกลงคือมหาเถรสมาคมหรือคณะสงฆ์

ไม่ใช่พระแต่รูป วัดแต่ละวัด สำนักแต่ละสำนักกำหนดเอาเองเข้าใจเอาเอง

มหาเถรสมาคมกำหนดข้อตกลงหรือยัง?

อันที่จริง ต้องถอยไปตั้งคำถามว่า มหาเถรสมาคมตกลงให้ “สังคหธุระ” เป็นกิจของสงฆ์แล้วหรือยัง?

แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าอะไรทั้งหมดคือ ทำอย่างไรและใครจะเป็นคนทำให้มหาเถรสมาคมกำหนดออกมาว่าจะเอาอย่างไรกันแน่?

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๗

๒๐:๑๗

…………………………………………………

กิจของสงฆ์ (๓)

https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/pfbid0dg4k91DWL8NwyVsWezGK3f7QLvC7H6T1oTtwcxrFPzjivWtHYRMLLVyFKGQE1NFml

…………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้