กิจของสงฆ์

กิจของสงฆ์ (๕)
—————
มีเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็น “เหตุการณ์เล็ก ๆ” ที่ท่านบันทึกไว้ในคัมภีร์ แต่เป็นเหตุการณ์ที่อาจจะ “ส่อง” หรือ “ส่อ” ให้เห็นได้ว่าอะไรเป็นกิจของสงฆ์ อะไรไม่ใช่กิจของสงฆ์
ก็-เช่นเคย ตามสไตล์ทองย้อย ชอบพูดให้กระทบใจ-ผมเชื่อว่านักเรียนบาลีของเราไม่เคยสนใจเหตุการณ์เล็ก ๆ แบบนี้ พอดีพอร้ายอาจจะไม่เคยอ่านด้วยซ้ำไป
…………………
เหตุการณ์ที่หนึ่ง
…………………
เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว คณะสงฆ์มีมติว่าจะทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่กรุงราชคฤห์อีก ๓ เดือนข้างหน้า
พระอานนท์กลับไปที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี แล้วต่อไปที่กรุงราชคฤห์
คัมภีร์อรรถกถาบันทึกเรื่องราวไว้ดังนี้ –
………………………………………….
อถ เถโร เชตวนวิหาเร ขณฺฑผุลฺลปฏิสงฺขรณํ การาเปตฺวา อุปกฏฺฐาย วสฺสูปนายิกาย ราชคหํ คโต ฯ
ในกาลนั้นพระเถระสั่งให้ทำการปฏิสังขรณ์สิ่งปรักหักพังในพระเชตวันวิหารแล้ว เมื่อวันวัสสูปนายิกาใกล้เข้ามาได้ไปยังกรุงราชคฤห์
ตถา มหากสฺสปตฺเถโร จ อนุรุทฺธตฺเถโร จ สพฺพํ ภิกฺขุสงฺฆํ
คเหตฺวา ราชหเมว คโต ฯ
ฝ่ายพระมหากัสสปเถระและพระอนุรุทธเถระก็พาภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปสู่กรุงราชคฤห์เช่นกัน
เตน โข ปน สมเยน ราชคเห อฏฺฐารส มหาวิหารา โหนฺติ ฯ
เวลานั้น ในกรุงราชคฤห์มีมหาวิหารอยู่ ๑๘ แห่ง
เต สพฺเพปิ ฉฑฺฑิตปติตอุกฺลาปา อเหสุํ ฯ
มหาวิหารทั้งหมดรกรุงรังด้วยของที่ถูกทิ้งและตกเกลื่อน
ภควโต หิ ปรินิพฺพาเน สพฺเพ ภิกฺขู อตฺตโน อตฺตโน ปตฺตจีวรํ คเหตฺวา วิหาเร จ ปริเวเณ จ ฉฑฺเฑตฺวา อคมํสุ ฯ
ทั้งนี้เพราะภิกษุทั้งหมดถือบาตรและจีวรของตน ๆ ทอดทิ้งวิหารและพื้นที่รอบ ๆ พากันไปในสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคปรินิพพาน
ตตฺถ เถรา ภควโต วจนปูชนตฺถํ ติตฺถิยวาทปริโมจนตฺถญฺจ ปฐมํ มาสํ ขณฺฑผุลฺลปฏิสงฺขรณํ กโรมาติ จินฺเตสุํ ฯ
พระเถระทั้งหลายในที่นั้นคิดกันว่า ตลอดเดือนแรกจะทำการปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรม ทั้งนี้เพื่อที่จะบูชาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค (ที่ทรงสรรเสริญการปฏิสังขรณ์เสนาสนะ) และเพื่อจะป้องกันไม่ให้พวกต่างศาสนาตำหนิเอาได้
ติตฺถิยา หิ วเทยฺยุํ สมณสฺส โคตมสฺส สาวกา สตฺถริ ฐิเตเยว วิหาเร ปฏิชคฺคึสุ ปรินิพฺพุเต ฉฑฺเฑสุนฺติ ฯ
เพราะพวกต่างศาสนาอาจพูดกันว่า เหล่าสาวกของพระสมณโคดมดูแลรักษาวิหารเฉพาะเมื่อศาสดายังอยู่เท่านั้น พอศาสดาปรินิพพาน ก็พากันทอดทิ้งเสีย
เตสํ วาทปริโมจนตฺถญฺจ จินฺเตสุนฺติ วุตฺตํ โหติ ฯ
เพื่อจะป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นตำหนิ พระเถระทั้งหลายจึงได้คิดกันอย่างนั้น
เต ทุติยทิวเส คนฺตฺวา ราชทฺวาเร อฏฺฐํสุ ฯ
ในวันที่ ๒ พระเถระเหล่านั้นได้ไปปรากฏตัวที่ประตูพระราชวัง
อชาตสตฺตุ ราชา อาคนฺตฺวา วนฺทิตฺวา กึ ภนฺเต อาคตตฺถาติ อตฺตนา กตฺตพฺพกิจฺจํ ปฏิปุจฺฉิ ฯ
พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จมา ทรงไหว้แล้วรับสั่งว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญพากันมาเพราะเหตุไร แล้วรับสั่งทวนถามถึงกิจที่พระองค์ควรทำ
เถรา อฏฺฐารสมหาวิหารปฏิสงฺขรณตฺถาย หตฺถกมฺมํ ปฏิเวเทสุํ ฯ
พระเถระทั้งหลายได้ทูลขอหัตถกรรม* เพื่อการปฏิสังขรณ์มหาวิหารทั้ง ๑๘ แห่ง
สาธุ ภนฺเตติ ราชา หตฺถกมฺมการเก มนุสฺเส อทาสิ ฯ
พระราชาทรงรับว่า ดีละเจ้าข้า แล้วได้พระราชทานเจ้าหน้าที่คนงาน
เถรา ปฐมมาสํ สพฺพวิหาเร ปฏิสงฺขราเปตฺวา
พระเถระทั้งหลายสั่งให้ปฏิสังขรณ์วิหารทั้งหมดเสร็จสิ้นเดือนแรก
รญฺโญ อาโรเจสุํ นิฏฺฐิตํ มหาราช วิหารปฏิสงฺขรณํ อิทานิ ธมฺมวินยสงฺคหํ กโรมาติ ฯ
แล้วได้ทูลให้พระราชาทรงทราบว่า ขอถวายพระพร การปฏิสังขรณ์วิหารเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้อาตมภาพทั้งหลายจะทำสังคายนาพระธรรมวินัย
สาธุ ภนฺเต วิสฺสตฺถา กโรถ
สาธุเจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายทำไปด้วยความสบายใจเถิด
มยฺหํ อาณาจกฺกํ ตุมฺหากํ ธมฺมจกฺกํ โหตุ
การข้างอาณาจักรไว้เป็นพนักงานโยม การข้างธรรมจักรจงเป็นภาระของพระคุณเจ้าทั้งหลายเถิด
อาณาเปถ มํ ภนฺเต กึ กโรมีติ ฯ
ขอพระคุณเจ้าโปรดใช้ข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า! จะให้ข้าพเจ้าทำอะไรบ้าง
สงฺคหํ กโรนฺตานํ ภิกฺขูนํ สนฺนิสชฺชนฏฺฐานํ มหาราชาติ ฯ
ขอถวายพระพร ขอพระองค์โปรดให้สร้างสถานที่ประชุมสำหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทำสังคายนา
กตฺถ กโรมิ ภนฺเตติ ฯ
จะให้ข้าพเจ้าสร้าง ณ ที่ไหนเจ้าข้า?
เวภารปพฺพตปสฺเส สตฺตปณฺณคุหาทฺวาเร กาตุํ ยุตฺตํ มหาราชาติ ฯ
ควรสร้างที่ประตูถ้ำสัตตบรรณข้างภูเขาเวภารบรรพต ขอถวายพระพร
สาธุ ภนฺเตติ โข ราชา อชาตสตฺตุ วิสฺสกมฺมุนา นิมฺมิตสทิสํ … มณฺฑปํ การาเปตฺวา … ภิกฺขุสงฺฆสฺส อาโรจาเปสิ นิฏฺฐิตํ ภนฺเต มม กิจฺจนฺติ ฯ
พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า สาธุเจ้าข้า ดังนี้ แล้วตรัสสั่งให้สร้างมณฑป (และเครื่องประดับสรรพสิ่งพร้อมบริบูรณ์) … ปานดังวิษณุกรรมนฤมิต … แล้วรับสั่งให้เผดียงแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ! กิจของข้าพเจ้าสำเร็จแล้ว ดังนี้
ที่มา: สมัตปาสาทิกา ภาค ๑ หน้า ๙-๑๐

………………………………………….
โปรดสังเกตว่า การปฏิสังขรณ์สิ่งที่ปรักหักพังในพระเชตวันก็ดี ปฏิสังขรณ์เสนาสนะ ๑๘ แห่งที่กรุงราชคฤห์ก็ดี พระสงฆ์ท่านไม่ได้ถลกสบง ใส่เสื้อเหลือง ปีนหลังคาขึ้นไปทำเอง
แต่ท่านใช้วิธี “ขอหัตถกรรม” ซึ่งพระสงฆ์ในเมืองไทยทุกวันนี้ไม่รู้จักวิธีนี้ และใช้วิธีนี้ไม่เป็น
งานทั้งปวงที่ไม่เหมาะแก่สมณวิสัย ท่านใช้วิธี “ขอหัตถกรรม” จากชาวบ้านหรือจากทางบ้านเมือง หลักการเดียวกับ “ขออารักขา” คือขอให้ทางราชการบ้านเมืองเข้ามาช่วยจัดการแทนให้ (ซึ่งเป็นอีกคำหนึ่งที่พระสงฆ์-คณะสงฆ์ควรศึกษาให้เข้าใจ)
จะเห็นได้ว่า งานสร้างและปฏิสังขรณ์เสนาสนะในสมัยพุทธกาลนั้นพระสงฆ์ไม่ได้ถลกสบงขัดเขมรเลื่อยไม้ไสกบปีนป่ายหลังคาขึ้นไปทำเองดังที่เรามักเข้าใจเพราะเห็นพระสงฆ์สมัยนี้ทำเช่นนั้น
แต่ในบางกรณี เช่นสถานที่จำพรรษา ท่านว่าถ้าหาที่จำพรรษาที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้ก็เป็นการดี ถ้าจำเป็นจะต้องสร้างขึ้นใหม่ ท่านว่าให้ “ขอหัตถกรรม” คือขอแรงญาติโยมให้ช่วยทำให้ ต่อเมื่อสุดวิสัยจริง ๆ คือหา “หัตถกรรม” ไม่ได้จริง ๆ ท่านจึงอนุญาตให้พระทำเองเป็นกรณี ๆ ไป
ผู้บริหารบ้านเมืองที่เป็นสัมมาทิฐิ ตลอดจนชาวบ้านที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ปรารถนาจะช่วยสงเคราะห์ภิกษุให้มีความปลอดโปร่งในการดำรงชีพและไม่เสียสมณสารูปในการปฏิบัติกิจบางอย่าง ทั้งนี้เพื่อภิกษุจะได้อุทิศเวลามุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติธรรมได้เต็มกำลัง ผู้บริหารบ้านเมืองและชาวบ้านเช่นนี้ย่อมมีอยู่ และย่อมพร้อมอยู่แล้วที่จะถวาย “หัตถกรรม” ในทุกโอกาส
………………………………………….
กรณีศึกษา :
พฤติการณ์ที่เริ่มจะปรากฏหนาตาขึ้นในสังคมไทย อย่างเช่นภิกษุขับรถยนต์ด้วยตนเองในการเดินทางไปไหนมาไหน ย่อมชวนให้ตั้งคำถามว่า ทำไมท่านจึงขอ “หัตถกรรม” จากญาติโยมไม่ได้? เราจะแก้ปัญหาเช่นนี้กันอย่างไร? และใครจะเป็นคนแก้?
………………………………………….
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๗
๑๗:๕๑
………………………………………….
กิจของสงฆ์ (๕)
………………………………………….
