เจตนาสามกาล (บาลีวันละคำ 881)
เจตนาสามกาล
“เจตนา” รากศัพท์มาจาก จิตฺ (ธาตุ = คิด, รู้, จงใจ) + ยุ ปัจจัย, แผลง อิ (ที่ จิ-) เป็น เอ, แปลง ยุ เป็น อน, ลง อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์
: จิตฺ > เจต + ยุ > อน = เจตน + อา = เจตนา แปลตามศัพท์ว่า “สภาวะที่คิด” หมายถึง ความตั้งใจ, ความคิด, ความจงใจ, ความประสงค์, ความปรารถนา (state of mind in action, thinking as active thought, intention, purpose, will)
พจน.54 บอกไว้ว่า –
“เจตนา : (คำกริยา) ตั้งใจ, จงใจ, มุ่งหมาย. (คำนาม) ความตั้งใจ, ความจงใจ, ความมุ่งหมาย”
(ดูเพิ่มเติมที่ : เจตนา : บาลีวันละคำ (704) 21-4-57)
“เจตนาสามกาล” หมายถึง :
(1) ปุพพเจตนา = ความตั้งใจเบื้องต้น (preliminary intention)
(2) มุญจนเจตนา = ความตั้งใจขณะทำ (releasing intention)
(3) อปรเจตนา = ความตั้งใจต่อมา (subsequent intention)
(คำแปลภาษาอังกฤษ : Banjob Bannaruji, ป.ธ.๙, Ph. D.)
ขอเก็บหลักความจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต มาเสนอดังนี้ –
ข้อ ๑
เจตนา : ความมุ่งใจหมายจะทำ เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง และเป็นตัวการในการทำกรรม หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว ดังพุทธพจน์ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า “เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม”;
ข้อ ๒
เจตนาสามกาล ใช้เป็นข้อพิจารณาในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม ได้แก่ –
(1) ปุพพเจตนา (ความตั้งใจในเบื้องต้น) = เจตนาก่อนจะทำ
(2) มุญจนเจตนา (แปลตามศัพท์ว่า “ความตั้งใจในการปล่อย”) = เจตนาในขณะทำ คือขณะปล่อยสิ่งของออกจากมือเพื่อให้แก่ผู้อื่น (เน้นที่ “ทาน–การให้”)
เจตนาที่ 2 นี้คำเดิมท่านเรียก “สันนิฏฐาปกเจตนา” แปลตามศัพท์ว่า “ความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ” หมายถึงเจตนาในขณะลงมือทำและทำจนสำเร็จ
(3) อปรเจตนา หรือ อปราปรเจตนา (ความตั้งใจต่อมา) = เจตนาสืบเนื่องต่อมาจากการกระทำนั้น หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากได้ทำสำเร็จแล้ว
เจตนาสามกาลนี้เป็นหลักในการที่จะทำบุญคือกรรมที่ดี ให้ได้ผลมาก และมักเน้นในเรื่องทาน
ข้อ ๓
ท่านสอนว่า ควรถวายทานหรือให้ทานด้วยเจตนาที่ครบทั้งสามกาล คือ –
(1) ก่อนให้ มีใจยินดี (ปุพพเจตนา)
(2) ขณะให้ ทำใจผ่องใส (มุญจนเจตนา)
(3) ให้แล้ว ชื่นชมปลื้มใจ (อปรเจตนา)
แถม :
ท่านว่า ผู้ที่ทำบุญให้ทานแล้วรู้สึกเสียดายในภายหลัง ผลแห่งทานย่อมทำให้มีทรัพย์สมบัติมาก แต่ผลแห่งอปรเจตนาที่ไม่ผ่องใส จะทำให้ไม่ได้เสวยสุขอันเกิดจากสมบัตินั้น กล่าวคือ “รวย แต่ไม่มีความสุข”
พระพุทธพจน์ :
ปุพฺเพว ทานา สุมโน
ททํ จิตฺตํ ปสาทเย
ทตฺวา อตฺตมโน โหติ
เอสา ยญฺญสฺส สมฺปทา.
(ทานสูตร อังคุตรนิกาย ฉักกนิบาต
พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒ ข้อ ๓๐๘)
ก่อนให้ ก็ปลอดโปร่ง
กำลังให้ ก็เปรมปรีดิ์
ให้แล้ว ก็ปลาบปลื้ม
บุญที่สมบูรณ์เป็นดั่งนี้
#บาลีวันละคำ (881)
16-10-57