สกปรก (บาลีวันละคำ 1,748)
สกปรก
จับบวชได้ ก็ไม่สกปรก
คำนี้ใครเห็นก็รู้จักกันดี อ่านว่า สก-กะ-ปฺรก
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สกปรก : (คำวิเศษณ์) เปรอะหรือเปื้อนด้วยสิ่งที่ถือว่าน่าเกลียดหรือที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เสื้อผ้าสกปรก เนื้อตัวสกปรกด้วยฝุ่นละออง, ขุ่นมัว, ไม่สะอาดหมดจด, เช่น น้ำสกปรก จิตใจสกปรก, ลักษณะกิริยาวาจาที่แสดงออกอย่างหยาบคาย เช่น พูดจาสกปรก, โดยปริยายหมายถึงอาการที่คล้ายคลึงเช่นนั้น เช่น เขาเป็นคนสกปรก เล่นสกปรก.”
พจนานุกรมฯ ไม่ได้บอกว่า “สกปรก” เป็นภาษาอะไรหรือมาจากภาษาอะไร
ผู้เขียนบาลีวันละคำเคยอ่านคอลัมน์ของท่านอาจารย์เปลื้อง ณ นคร จำไม่ได้ว่าในวารสารอะไร ท่านตั้งชื่อคอลัมน์ว่า “สะกะปะระกะปกรณ์” เนื้อหาว่าด้วยเรื่องที่กระเดียดไปในทางเพศอันมีกล่าวไว้ในปกรณ์คือคัมภีร์เก่าแก่ทั้งหลายทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเทศ
ชื่อ “สะกะปะระกะปกรณ์” นี้ถ้าเขียนไม่มีสระ อะ ก็จะเป็น “สกปรกปกรณ์”
แต่ “สกปรก” คำนี้ไม่ได้มีความหมายอย่างที่เข้าใจกันตามที่ปรากฏในพจนานุกรมฯ
“สกปรก” ถ้าเป็นคำบาลีก็แยกเป็น “สก” และ “ปรก”
(๑) “สก” อ่านว่า สะ-กะ รากศัพท์มาจาก ส (สะ. = ตน) + ก (กะ)
“ก” (กะ) ตัวนี้ ภาษาไวยากรณ์บาลีเรียกว่า “ก–สกรรถ” อ่านว่า กะ-สะ-กัด
คำว่า “สกรรถ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สกรรถ : (คำนาม) เรียกคำที่เพิ่มเข้าข้างหลังคำเดิม เมื่อเพิ่มแล้ว มีความหมายคงเดิม หรือหมายถึงพวกหรือหมู่ ว่า คำสกรรถ เช่น อากร (ในคำเช่น นรากร ประชากร) อาการ (ในคำเช่น คมนาการ ทัศนาการ) ชาติ (ในคำเช่น มนุษยชาติ ติณชาติ) ประเทศ (ในคำเช่น อุรประเทศ หทัยประเทศ).”
“ก–สกรรถ” จึงหมายถึง อักษร ก ที่ลงข้างท้ายศัพท์ เมื่อลงแล้วศัพท์นั้นมีความหมายเท่าเดิม
ในที่นี้ “ส” (สะ) แปลว่า “ของตน” + ก = สก (สะ-กะ) คงแปลว่า “ของตน” (own) เท่าเดิม
(๒) “ปรก” อ่านว่า ปะ-ร-กะ รากศัพท์มาจาก ปร + ก
“ปร” บาลีอ่านว่า ปะ-ระ รากศัพท์มาจาก ป (แทนศัพท์ หึสา = เบียดเบียน) + รมฺ (ธาตุ = ยินดี) + กฺวิ ปัจจัย, ลบ มฺ ที่สุดธาตุและ กฺวิ
: ป + รมฺ = ปรมฺ + กฺวิ = ปรมกฺวิ > ปรม > ปร แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ยินดีในการเบียดเบียน” ในที่นี้หมายถึง –
(1) อีกอันหนึ่ง, อื่นอีก, อื่น (another, other)
(2) ศัตรู, ปรปักษ์ (enemies, opponents)
ปร + ก สกรรถ = ปรก แปลว่า ฝ่ายอื่น หรือ ของฝ่ายอื่น
สก + ปรก = สกปรก แปลว่า “ของตนและของคนอื่น”
ดังนั้น ชื่อ “สกปรกปกรณ์” ดังกล่าวข้างต้น จึงมีความหมายว่า คัมภีร์หรือตำรา (อันกล่าวถึงใดเรื่องหนึ่ง) ทั้งของฝ่ายตนและของฝ่ายอื่น แปลแบบอนุรักษนิยมก็ว่า “ปกรณ์ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเทศ” นั่นเอง
…………..
คำว่า “สกปรก” เป็นคำที่ให้แง่คิด ดังคำประพันธ์ของท่าน ฟ.ฮีแลร์ (F. Hilaire) ที่ว่า –
“สองคนยลตามช่อง
คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
อีกคนตาแหลมคน
เห็นดวงดาวอยู่พราวพราย”
สรุปว่า มองแค่ไหนก็เห็นแค่นั้น
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ไม่จำเป็นต้องมองให้เห็นความชั่ว
: ไม่จำเป็นต้องมองให้เห็นความดี
: แต่จงมองให้เห็นความจริง
18-3-60