มัทรี (บาลีวันละคำ 2,081)
มัทรี
กัณฑ์ที่ 9 ในมหาเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์
อ่านว่า มัด-ซี
“มัทรี” บาลีเป็น “มทฺที” (มัด-ที) คำเดิมมาจาก มทฺท + อี ปัจจัย
(ก) “มทฺท” (มัด-ทะ) รากศัพท์มาจาก –
(1) มทฺ (ธาตุ = มัวเมา; สนุกสนาน; บ้า, คลั่ง) + อ ปัจจัย, ซ้อน ท ระหว่างธาตุกับปัจจัย (มทฺ + ท + อ)
: มทฺ + ท + อ = มทฺท แปลตามศัพท์ว่า (1) “แคว้นที่ชาวเมืองมัวเมา” (2) “แคว้นที่ชาวเมืองเริงรมย์อยู่ด้วยกามคุณห้า” (3) “แคว้นเป็นที่ชาวเมืองคลั่งไคล้”
(2) ม (แทนศัพท์ว่า “สิว” = ความเกษม, ความเจริญ) + ทา (ธาตุ = ให้) + อ ปัจจัย, ซ้อน ท ระหว่างบทหน้ากับธาตุ (ม + ทฺ + ทา), “ลบสระหน้า” คือ อา ที่ ทา (ทา > ท)
: ม + ทฺ + ทา = มทฺทา > มทฺท + อ = มทฺท แปลตามศัพท์ว่า “แคว้นเป็นที่ให้ความเจริญ”
“มทฺท” เป็นชื่อแคว้นโบราณในชมพูทวีป
บาลี “มทฺท” สันสกฤตเป็น “มทฺร”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ว่า –
“มทฺร : (คำนาม) ความยินดี; ชื่อนที; delight; the name of a river.”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ขยายความคำว่า “มทฺท” ไว้ว่า N. of a country & its inhabitants (ชื่อของประเทศและคน)
คำว่า “มทฺท” ถ้าเป็นศัพท์ทั่วไป มีความหมายว่า บดขยี้, ทำลาย (crushing, destroying)
(ข) มทฺท + อี ปัจจัย
: มทฺท + อี = มทฺที แปลตามศัพท์ว่า “กุมารีแห่งแคว้นมัททะ”
“มทฺที” อาจแปลให้ได้ความหมายตามลักษณะของหญิงงามว่า “สตรีผู้บดขยี้หัวใจบุรุษเพศ” หมายถึงสตรีผู้มีความงามจนบรรดาบุรุษลุ่มหลงยอมมอบหัวใจให้
ในที่นี้ “มทฺที” หมายถึงราชธิดาพระองค์หนึ่งของกษัตริย์แคว้นมัททะ เป็นมเหสีของพระเวสสันดร ในภาษาไทยใช้อิงสันสกฤตเป็น “มัทรี” ออกเสียงว่า มัด-ซี (หลักเดียวกับ อินทรีย์ = อิน-ซี)
ขยายความ :
“มัทรี” เป็นชื่อกัณฑ์ที่ 9 ของมหาเวสสันดรชาดก
ในคัมภีร์ชาดก (พระไตรปิฎกเล่ม 28 ข้อ 1183-1201 หน้า 424-433) เรียกชื่อกัณฑ์นี้ว่า “มทฺทีปพฺพํ” (ดูภาพประกอบ) ภาษาไทยตัดมาเฉพาะ “มทฺที” และใช้อิงสันสกฤตเป็น “มัทรี”
เรื่องราวในกัณฑ์ “มัทรี” ว่าด้วยพระนางมัทรีไปเที่ยวแสวงหาผลไม้ตามกิจวัตรแล้วรีบกลับเพราะเป็นห่วงสองกุมาร เทพยเจ้าเล็งเห็นว่าถ้าพระนางกลับไปแต่ยังวัน รู้ว่าพระเวสสันดรประทานสองกุมารแก่ชูชกก็จะต้องออกตาม จะเสวยทุกขเวทนาสาหัสอาจถึงแก่ชีวิต ถ้าถ่วงเวลาไว้ให้กลับในเมื่อเย็นค่ำแล้ว ก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้พระนางออกตาม เป็นการป้องกันชีวิตพระนางไว้ได้ เทพยดาจึงมอบหมายให้เทพบุตร 3 องค์จำแลงเป็น “พญาราชสีห์สองเสือสามสัตว์” ไปนอนสกัดทางในช่องแคบ จนเวลามืดค่ำจึงยอมหลีกทาง
พระนางมัทรีกลับถึงอาศรมไม่เห็นสองกุมารก็ทูลถามพระเวสสันดร พระเวสสันดรใช้ “จิตวิทยา” แสร้งโกรธเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ ในที่สุดพระนางมัทรีวิ่งวนหาสองกุมารจนมาสลบลงตรงหน้าพระเวสสันดร เมื่อฟื้นขึ้นรู้ความจริงก็ทรงอนุโมทนาในทานบารมี
ร่ายยาวกัณฑ์มัทรีเป็นสำนวนของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เช่นเดียวกับกัณฑ์กุมาร มีโวหารพรรณนาที่เพราะๆ หลายตอน
อภิปราย :
เนื้อหาในกัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี ถ้าลองวิเคราะห์ดูจะเห็นว่าเป็นการต่อสู้กันระหว่าง “อารมณ์” กับ “เหตุผล” นั่นเอง
“อารมณ์” คือความรัก ความห่วง ความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก ลูกกับแม่ ความน้อยเนื้อต่ำใจที่ลูก (สองกุมาร) มีต่อพ่อ (พระเวสสันดร) “อารมณ์” นี้ทำให้มองเห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า นั่นคือไม่ต้องการจะให้ใครมาแยกมาพรากของรักของหวงของตน ต้องการอยู่ครอบครองเป็นเจ้าของทุกเวลานาที
ส่วน “เหตุผล” ทำให้มองเห็นประโยชน์ในช่วงยาวยั่งยืน
การยกสองกุมารให้ชูชกนั้น ประโยชน์ที่จะได้ในชาตินี้ก็คือ สองกุมารจะเป็นสื่อกลางทำให้พระเวสสันดรได้กลับเข้าเมืองเร็วขึ้น การพลัดพรากจากกันเป็นเสมือนการลงทุนในช่วงเวลาสั้นๆ นับเวลาตามท้องเรื่อง พ่อแม่ลูกไม่ได้เห็นกันเพียงแค่ 2 เดือน แต่หลังจากนั้นได้อยู่ด้วยกันจนตลอดชีวิต
แต่ประโยชน์ยิ่งใหญ่ยืนยาวก็คือ เป็นเหตุให้พระเวสสันดรได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติต่อมา เกิดพระพุทธศาสนาที่อำนวยประโยชน์ทั้ง 3 คือ ประโยชน์ชาตินี้ ประโยชน์ชาติหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งคือพระอมตนฤพาน แก่มนุษยชาติกว้างใหญ่ไพศาลมาจนถึงทุกวันนี้
……..
กัณฑ์ที่ 9 มทฺทีปพฺพํ 90 พระคาถา
เพลงประจำกัณฑ์: เพลงทยอยโอด
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ยอดเขลา ใช้อารมณ์ควบคุมเหตุผล
: ยอดคน ใช้เหตุผลควบคุมอารมณ์
#บาลีวันละคำ (2,081)
22-2-61