มโนมยิทธิ (บาลีวันละคำ 2,293)
มโนมยิทธิ
จิตนี้มีฤทธิ์
อ่านว่า มะ-โน-มะ-ยิด-ทิ
แยกศัพท์เป็น มโนมย + อิทธิ
(๑) “มโนมย” ประกอบด้วย มโน + มย
(ก) “มโน” รูปคำเดิมในบาลีเป็น “มน” (มะ-นะ) รากศัพท์มาจาก –
(1) มน (ธาตุ = รู้) + อ ปัจจัย
: มน + อ = มน แปลตามศัพท์ว่า “ตัวรู้”
(2) มา (ธาตุ =นับ, กะ, ประมาณ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน, ลบสระที่สุดธาตุ
: มา > ม + ยุ > อน : ม + อน = มน แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่กำหนดนับอารมณ์”
“มน” (ปุงลิงค์; นปุงสกลิงค์) หมายถึง ใจ, ความคิด (mind, thought)
(ข) “มย” (มะ-ยะ) นักภาษาวิเคราะห์ความหมายของศัพท์ไว้ดังนี้ –
(1) มีความหมายว่า “มยํ” (มะ-ยัง) = ข้าพเจ้าเอง (“myself”)
(2) มีความหมายว่า “ปญฺญตฺติ” (บัญญัติ) = รับรู้กันว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ (“regulation”)
(3) มีความหมายว่า “นิพฺพตฺติ” = บังเกิด (“origin”, arising from)
(4) มีความหมายว่า “มโนมย” = ทางใจ (“spiritually”)
(5) มีความหมายว่า “วิการ” = ทำให้แปลกไปจากสภาพเดิมของสิ่งนั้น (“alteration”) เช่น เอาทองมาทำเป็นสร้อยคอ (ทอง = สภาพเดิม, สร้อยคอ = สิ่งที่ถูกทำให้แปลกจากเดิม)
(6) มีความหมายว่า “ปทปูรณ” (บทบูรณ์) = ทำบทให้เต็ม เช่น ทานมัย ก็คือทานนั่นเอง สีลมัย ก็คือศีลนั่นเอง เติม “มัย” เข้ามาก็มีความหมายเท่าเดิม (to make up a foot of the verse)
กฎของการใช้คำว่า “มย” ก็คือ ไม่ใช้เดี่ยวๆ แต่จะเป็นส่วนท้ายของคำอื่นเสมอ
มน > มโน + มย = มโนมย (มะ-โน-มะ-ยะ) คำแปลสามัญคือ “สำเร็จด้วยใจ” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจจิต คือใช้พลังจิตทำให้เกิดขึ้น (made of mind, consisting of mind, formed by the magic power of the mind, magically formed)
หมายเหตุ :
“มน” เป็นศัพท์พิเศษที่เรียกว่า “มโนคณศัพท์” (มะ-โน-คะ-นะ-สับ) แปลว่า “ศัพท์ในกลุ่มของ มน” ในบาลีไวยากรณ์ท่านแสดงไว้ 12 ศัพท์ ดังนี้ –
มน (มะ-นะ) = ใจ
อย (อะ-ยะ) = เหล็ก
อุร (อุ-ระ) = อก
เจต (เจ-ตะ) = ใจ
ตป (ตะ-ปะ) = ความร้อน
ตม (ตะ-มะ) = มืด
เตช (เต-ชะ) = เดช
ปย (ปะ-ยะ) = น้ำนม
ยส (ยะ-สะ) = ยศ
วจ (วะ-จะ) = วาจา
วย (วะ-ยะ) = วัย
สิร (สิ-ระ) = หัว
“มโนคณศัพท์” มีกฎว่า เมื่อเป็นส่วนหน้าของคำสมาส ให้แปลง อะ ที่สุดศัพท์เป็น โอ เช่น มน + รม แทนที่จะเป็น “มนรม” ท่านให้แปลง อะ ที่ (ม)-น เป็น โอ (มน > มโน) จึงเป็น “มโนรม”
ในที่นี้ มน + มย แทนที่จะเป็น “มนมย” ก็เป็น “มโนมย”
(๒) “อิทธิ”
บาลีเขียน “อิทฺธิ” (มีจุดใต้ ทฺ) อ่านว่า อิด-ทิ รากศัพท์มาจาก อิธฺ (ธาตุ = เจริญ) + อิ ปัจจัย, ซ้อน ทฺ หลัง อิ ต้นธาตุ
: อิธ > (อิ + ทฺ) อิทฺธ + อิ = อิทฺธิ แปลตามศัพท์ว่า “เหตุเป็นเครื่องเจริญ”
ความหมายสามัญที่เข้าใจกัน “อิทฺธิ” หมายถึง ความสำเร็จ
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แสดงทัศนะต่อคำว่า “อิทฺธิ” ไว้ว่า –
There is no single word in English for Iddhi, as the idea is unknown in Europe. The main sense seems to be ʻ potency ʼ
ไม่มีคำในภาษาอังกฤษที่ให้ความหมายของคำว่า “อิทฺธิ” ได้ชัดเจนแม้สักคำเดียว, ความคิดเช่นนี้ไม่เป็นที่รู้จักในยุโรป. ความหมายหลักดูเหมือนจะเป็น potency อานุภาพหรืออำนาจ
แต่พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ ก็แปล “อิทฺธิ” ไว้คำหนึ่งว่า psychic powers (ฤทธิ์ทางใจ)
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต แปล “อิทธิ” เป็นอังกฤษว่า
Iddhi : success; supernormal power; psychic power; magical power.”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อิทธิ : (คำนาม) ฤทธิ์, อํานาจศักดิ์สิทธิ์; ความเจริญ, ความสําเร็จ, ความงอกงาม. (ป.; ส. ฤทฺธิ).”
มโนมย + อิทธิ = มโนมยิทธิ แปลตามศัพท์ “ฤทธิ์อันสำเร็จด้วยใจ”
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ไทย-อังกฤษ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต แปล “มโนมยิทธิ” เป็นอังกฤษดังนี้ –
Manomayiddhi : the magic power of the mind; mind-made magical power.
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายของ “มโนมยิทธิ” ไว้ดังนี้ –
“มโนมยิทธิ : ฤทธิ์ทางใจ คือนิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ได้ เหมือนชักดาบออกจากฝัก หรืองูออกจากคราบ (ข้อ ๒ ในวิชชา ๘).”
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [297] แสดง “วิชชา 8” ไว้ดังนี้ –
…………..
[297] วิชชา 8 : ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ (Vijjā: supernormal knowledge)
1. วิปัสสนาญาณ : ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่เป็นวิปัสสนา คือปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขารคือนามรูปโดยไตรลักษณ์ มีต่างกันออกไปเป็นชั้นๆ ต่อเนื่องกัน (Vipassanāñāṇa: insightknowledge)
2. มโนมยิทธิ : ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ, ฤทธิ์ทางใจ คือ นิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ ดุจชักไส้จากหญ้าปล้อง ชักดาบจากฝัก หรือชักงูออกจากคราบ (Manomayiddhi: mind-made magical power)
3. อิทธิวิธา หรือ อิทธิวิธิ : แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ (Iddhividhā: supernormal powers)
4. ทิพพโสต : หูทิพย์ (Dibbasota: divine ear)
5. เจโตปริยญาณ : ความรู้ที่กำหนดใจผู้อื่นได้ (Cetopariyañāṇa: penetration of the minds of others)
6. ปุพเพนิวาสานุสสติ : ระลึกชาติได้ (Pubbenivāsānussati: remembrance of former existences)
7. ทิพพจักขุ : ตาทิพย์ (Dibbacakkhu: divine eye)
8. อาสวักขยญาณ : ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ (Āsavakkhayañāṇa: knowledge of the exhaustion of mental intexicants)
…………..
สรุปว่า “มโนมยิทธิ” ฤทธิ์ทางใจ ท่านให้คำจำกัดความไว้ว่า หมายถึงสามารถนิรมิตกายอื่นออกจากกายนี้ได้ และรูปนิรมิตจะมีลักษณะเหมือนกับรูปจริงทุกประการ
ในคัมภีร์มีเรื่องพระเถระชื่อจูฬปันถก ท่านอยู่ในวัดองค์เดียว มีคนเข้าไปนิมนต์พระ เห็นพระจูฬปันถกอยู่ในวัดนั้นตั้ง 1,000 องค์ นี่คือตัวอย่างของ “มโนมยิทธิ”
…………..
ดูก่อนภราดา!
: ถ้าใจสกปรก
: ยิ่งมีฤทธิ์ก็ยิ่งไปนรกได้เร็วขึ้น
————–
(ตามคำขอของ Mind Inventive)
#บาลีวันละคำ (2,293)
22-9-61