บุปฺผภาณี (บาลีวันละคำ 2,658)
บุปฺผภาณี
พูดจาภาษาดอกไม้ คืออย่างไร
อ่านว่า บุบ-ผะ-พา-นี
ประกอบด้วยคำว่า บุปผ + ภาณี
(๑) “บุปผ”
บาลีเป็น “ปุปฺผ” (ปุบ-ผะ) รากศัพท์มาจาก ปุปฺผฺ (ธาตุ = แย้ม, บาน) + อ ปัจจัย
: ปุปฺผ + อ = ปุปฺผ (นปุงสกลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งที่แย้มบาน” (2) “สิ่งที่เบ่งบานเหมือนดอกไม้”
“ปุปฺผ” ที่แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่แย้มบาน” หมายถึง ดอกไม้ (a flower) เป็นความหมายทั่วไป
“ปุปฺผ” ที่แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่เบ่งบานเหมือนดอกไม้” หมายถึง เลือด (blood) เป็นความหมายเฉพาะในบางแห่ง โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงระดูของสตรี (the menses)
บาลี “ปุปฺผ” สันสกฤตเป็น “ปุษฺป”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ปุษฺป : (คำนาม) ดอกไม้หรือผกาทั่วไป; ฤดู (ของสตรี); ความเบิกบาน, การเบิกบาน; ยานของท้าวกุเวร; ราชธานีของกรรณ, หรือภาคัลปูร; a flower in general; the menses; expansion, expanding; the vehicle of Kuvera; the capital of Karṇa, or Bhāgalpur.”
ในภาษาไทยใช้เป็น “บุปผ-” (ขีดหลังหมายถึง มีคำอื่นมาสมาสข้างท้าย เช่นในที่นี้มี “-ภาณี” มาสมาส) และ “บุปผา”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“บุปผ-, บุปผา : (คำนาม) ดอกไม้. (ป. ปุปฺผ; ส. ปุษฺป).”
(๒) “ภาณี”
บาลีอ่านว่า พา-นี รากศัพท์มาจาก ภณฺ (ธาตุ = กล่าว, ส่งเสียง) + ณี ปัจจัย, ลบ ณ (ณี > อี), ทีฆะต้นธาตุ “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” (ภณฺ > ภาณฺ)
: ภณฺ + ณี > อี = ภณี > ภาณี (คุณศัพท์) แปลตามศัพท์ว่า “ผู้กล่าว” หมายถึง พูด, สาธยายหรือสวด (speaking, reciting)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“ภาณี : (คำนาม) ผู้สวด, ผู้กล่าว, ผู้บอก, คนช่างพูด, เพศหญิง ใช้ว่า ภาณินี.”
ปุปฺผ + ภาณี = ปุปฺผภาณี (ปุบ-ผะ-พา-นี) แปลว่า “ผู้มีปกติกล่าวถ้อยคำประดุจดอกไม้”
คำนี้แปลตรงตัวว่า “พูดเหมือนดอกไม้” หมายถึงคำพูดของเขาเปรียบเหมือนดอกไม้ ในภาษาไทยมักเข้าใจกันว่า คนปากหอม พูดจาดี ก่อให้เกิดความรักความชื่นใจแก่ผู้ที่ได้ฟัง เรียกเทียบคำบาลีว่า “พูดจาภาษาดอกไม้”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “ปุปฺผภาณี” ว่า “speaking flowers,” i. e. speaking the truth (“ผู้กล่าวภาษาดอกไม้” คือ ผู้พูดความจริง)
“ปุปฺผภาณี” ในภาษาไทยใช้เป็น “บุปผภาณี”
ขยายความ :
พูดอย่างไรเรียกว่า “บุปผภาณี” = ปากหอม?
ในพระไตรปิฎก มีพระสูตรหนึ่งชื่อ “คูถภาณีสูตร” คัมภีร์ติกนิบาต อังคุตรนิกาย เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ขออัญเชิญมาทั้งคำบาลีและคำแปลเพื่อเจริญปัญญา ดังนี้ –
…………..
กตโม จ ภิกฺขเว ปุคฺคโล ปุปฺผภาณี
บุคคลบุปผภาณีเป็นอย่างไร?
อิธ ภิกฺขเว เอกจฺโจ ปุคฺคโล
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลลางคนในโลกนี้
สภาคโต วา
เข้าสภาก็ดี
ปริสคโต วา
เข้าชุมนุมชนก็ดี
ญาติมชฺฌคโต วา
เข้าหมู่ญาติก็ดี
ปูคมชฺฌคโต วา
เข้าหมู่ข้าราชการก็ดี
ราชกุลมชฺฌคโต วา
เข้าหมู่เจ้าก็ดี
อภินีโต สกฺขิ ปุฏฺโฐ
ถูกนำตัวไปซักถามเป็นพยานว่า —
เอหมฺโภ ปุริส ยํ ชานาสิ ตํ วเทหีติ
เอาละท่านผู้เจริญ ท่านรู้อันใด จงบอกอันนั้น
โส อชานํ วา อาห น ชานามีติ
บุคคลนั้น ไม่รู้ ก็บอกว่าไม่รู้
ชานํ วา อาห ชานามีติ
รู้ ก็บอกว่ารู้
อปสฺสํ วา อาห น ปสฺสามีติ
ไม่เห็น ก็บอกว่าไม่เห็น
ปสฺสํ วา อาห ปสฺสามีติ
เห็น ก็บอกว่าเห็น
น สมฺปชานมุสาภาสิตา โหติ
ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งรู้
อตฺตเหตุ วา
เพราะเห็นแก่ตนบ้าง
ปรเหตุ วา
เพราะเห็นแก่คนอื่นบ้าง
อามิสกิญฺจิกฺขเหตุ วา
เพราะเห็นแก่ลาภผลเล็กน้อยบ้าง
อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ปุคฺคโล ปุปฺผภาณี.
บุคคลเช่นนี้แหละภิกษุทั้งหลาย เราเรียกว่าบุปผภาณี
ที่มา: ติกนิบาต อังคุตรนิกาย
พระไตรปิฎกเล่ม ๒๐ ข้อ ๔๖๗
…………..
อภิปราย :
เป็นอันยืนยันได้ว่า “บุปผภาณี” ในพระพุทธศาสนาหมายถึงคนพูดความสัตย์ความจริง ความหมายเช่นนี้อาจไม่ตรงกับคำว่า “ภาษาดอกไม้” ที่เราเข้าใจ แต่นั่นคือความหมายที่แท้จริง
เมื่อกล่าวถึงคำสัตย์ เราก็นิยมอ้างภาษิต “สจฺจํ เว อมตา วาจา” แปลว่า “คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย”
แล้วก็จะได้ยินคำเหน็บแนมว่า คำจริงไม่ตาย แต่คนพูดความจริงมักตาย
ความคิดเช่นนี้นับเป็นการบั่นทอนกำลังใจอย่างหนึ่ง ทำให้คนไม่อยากพูดความจริง ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนพูดความเท็จไปในตัว
“คำสัตย์” ในภาษิตนั้นท่านหมายถึง “สัจธรรม” คือหลักธรรมอันแสดงข้อปฏิบัติที่ถูกต้องแท้จริง เมื่อนำมาแสดงแล้วมีผู้ปฏิบัติดำเนินตามก็จะเป็นเหตุให้บรรลุอมตธรรมคือพระนฤพานอันไม่มีภพใหม่ คือไม่ต้องเกิดอีก เมื่อไม่มีเกิด ก็เป็นอันไม่มีแก่เจ็บตาย อันเป็นความหมายของ “อมตะ”
“สจฺจํ เว อมตา วาจา” มีความหมายเช่นนี้
แต่เพราะไม่ศึกษาสำเหนียก จึงไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้วเอาไปพูดตามที่เข้าใจเอาเอง ความหมายของภาษิตจึงผิดเพี้ยนไป
คนควรพูดคำสัตย์ พระพุทธศาสนาไม่ได้หลับตาสอนให้พูดแต่คำสัตย์แต่สอนองค์ประกอบของ “วาจาสุภาษิต” คือหลักการพูดที่ถูกต้องควบคู่ไว้ด้วยเสมอ กล่าวคือ –
(1) กาเลน ภาสิตา = รู้กาลเทศะที่จะพูด
(2) สจฺจา ภาสิตา = พูดเรื่องจริง
(3) สณฺหา ภาสิตา = พูดอย่างสุภาพ
(4) อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา = พูดสร้างสรรค์
(5) เมตฺตจิตฺเตน ภาสิตา = พูดด้วยไมตรีจิต
…………..
ดูก่อนภราดา!
: คำสัตย์ไม่ใช่หลักประกันว่าคนพูดจะไม่ตาย
: แต่รับประกันได้ทุกรายว่าคำพูดของเขาจะเป็นอมตะ
#บาลีวันละคำ (2,658)
22-9-62