ฌานวิสัย (บาลีวันละคำ 2,795)
ฌานวิสัย
อ่านว่า ชาน-นะ-วิ-ไส
ประกอบด้วยคำว่า ฌาน + วิสัย
(๑) “ฌาน”
บาลีอ่านว่า ชา-นะ รากศัพท์มาจาก –
(1) เฌ (ธาตุ = คิด) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะนะ), แปลง เฌ เป็น ฌา
: เฌ + ยุ > อน = เฌน > ฌาน แปลตามศัพท์ว่า “ความคิด”
(2) ฌาปฺ (ธาตุ = เผา, ทำให้ไหม้) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน (อะนะ), ลบที่สุดธาตุ (ฌาปฺ > ฌา)
: ฌาปฺ + ยุ > อน = ฌาปน > ฌาน แปลตามศัพท์ว่า “ธรรมชาตที่เผาข้าศึกคือนิวรณ์”
“ฌาน” หมายถึง ความคิด, ความเพ่ง (ซึ่งเมื่อมีกำลังเต็มที่จะมีพลังเหมือนไฟที่สามารถเผาอารมณ์ที่เป็นข้าศึกแก่กุศลให้มอดไหม้ได้ ทำให้จิตดิ่งนิ่งสงบควรแก่การที่จะเจริญปัญญาต่อไป)
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 บอกความหมายของ “ฌาน” ไว้ว่า –
“ฌาน : (คำนาม) ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เนื่องมาจากการเพ่งอารมณ์, การเพ่งอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นสมาธิ, เรียกลักษณะการทําจิตให้สงบตามหลักทางศาสนาว่า เข้าฌาน เช่น พระเข้าฌาน ฤษีเข้าฌาน, โดยปริยายหมายถึงนั่งหลับหรือนั่งเหม่อใจลอยไม่รับรู้อะไร เรียกว่า เข้าฌาน, ฌานนั้นจัดเป็น ๔ ชั้น เรียกชื่อตามลําดับที่ประณีตขึ้นไปกว่ากัน คือ ปฐมฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๑ มีองค์ ๕ คือ ยังมีตรึก ซึ่งเรียกว่า วิตก มีตรอง ซึ่งเรียกว่า วิจาร เหมือนอารมณ์แห่งจิตของคนสามัญ มีปีติ คือความอิ่มใจ มีสุข คือความสบายใจอันเกิดแต่วิเวกคือความเงียบ และประกอบด้วยจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งลงไปซึ่งเรียกว่า เอกัคตา, ทุติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๒ มีองค์ ๓ คือ ละวิตกวิจารเสียได้ คงอยู่แต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิกับเอกัคตา, ตติยฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒ คือ ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุขกับเอกัคตา, จตุตถฌาน ได้แก่ ฌานที่ ๔ มีองค์ ๒ เหมือนกัน ละสุขเสียได้กลายเป็นอุเบกขาคือเฉย ๆ กับเอกัคตา, ฌานทั้ง ๔ นี้จัดเป็นรูปฌาน เป็นรูปสมาบัติ มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ สงเคราะห์เข้าในรูปาวจรภูมิ. (ป.; ส. ธฺยาน).”
ต่อมา พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ปรับแก้คำนิยามใหม่เหลืองเพียงว่า –
“ฌาน : (คำนาม) ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่เนื่องมาจากการเพ่งอารมณ์ หรือการเพ่งอารมณ์จนจิตแน่วแน่เป็นสมาธิ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ รูปฌาน กับ อรูปฌาน. (ป.; ส. ธฺยาน).”
บาลี “ฌาน” สันสกฤตเป็น “ธฺยาน”
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ –
(สะกดตามต้นฉบับ)
“ธฺยาน : (คำนาม) ธยาน, สมาธิ, ภาวนา, วิมรรศ์; meditation, reflection.”
(๒) “วิสัย”
บาลีเขียน “วิสย” (วิ-สะ-ยะ) รากศัพท์มาจาก วิ (คำอุปสรรค = พิเศษ, แจ้ง, ต่าง) + สิ (ธาตุ = เสพ, คบหา; ผูก, พัน) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อิ ที่ สิ เป็น เอ แล้วแปลง เอ เป็น อย (สิ > เส > สย)
: วิ + สิ = วิสิ + ณ = วิสิณ > วิสิ > วิเส > วิสย แปลตามศัพท์ว่า (1) “ภูมิภาคเป็นที่เสพอาศัย” (2) “ภาวะที่ผูกอินทรีย์ไว้”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “วิสย” ไว้ดังนี้ –
(1) locality, spot, region; world, realm, province, neighbourhood (ที่ตั้ง, แหล่งที่; ภูมิภาค, โลก, อาณาจักร, จังหวัด, บริเวณ)
(2) reach, sphere [of the senses], range, scope; object, characteristic, attribute (ขอบเขต, โลก [ของความรู้สึก], แนว, วง; วิสัย, ลักษณะ, คุณสมบัติ)
จับความหมายของ “วิสย > วิสัย” สั้น ๆ ว่า –
(1) ขอบเขต
(2) สิ่งที่จิตไปรับรู้เกาะเกี่ยว = อารมณ์
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“วิสย-, วิสัย : (คำนาม) ความสามารถ เช่น อยู่ในวิสัยที่จะเลี้ยงดูบุตรภรรยาได้ เป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะทำได้; ขอบ, เขต, เช่น คามวิสัย โคจรวิสัย อยู่ในทัศนวิสัย. (ป.).”
ฌาน + วิสย = ฌานวิสย (ชา-นะ-วิ-สะ-ยะ) แปลว่า “วิสัยแห่งฌาน” หรือ “วิสัยของผู้ได้ฌาน”
“ฌานวิสย” ใช้ในภาษาไทยเป็น “ฌานวิสัย” (ชาน-นะ-วิ-ไส) คำนี้ยังไม่ได้เก็บไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554
ขยายความ :
“ฌานวิสัย” เป็นข้อหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า “อจินไตย”
คำว่า “อจินไตย” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า
“อจินไตย : (คำวิเศษณ์) ที่พ้นความคิด, ไม่ควรคิด, (สิ่งที่เป็นอจินไตยมีอยู่ ๔ อย่างด้วยกัน คือ พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑). (ป. อจินฺเตยฺย; ส. อจินฺตฺย).”
เรื่องอจินไตยมาในพระไตรปิฎก คือคัมภีร์อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม 20 ข้อ 77 ขอยกมาโดยประสงค์เพื่อเจริญปัญญา ดังนี้ –
…………..
จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว อจินฺเตยฺยานิ น จินฺเตตพฺพานิ ยานิ จินฺเตนฺโต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺส.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย 4 อย่างนี้ไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า
กตมานิ จตฺตาริ.
อจินไตย 4 คืออะไรบ้าง
พุทฺธานํ ภิกฺขเว พุทฺธวิสโย อจินฺเตยฺโย น จินฺเตตพฺโพ ยํ จินฺเตนฺโต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺส.
พุทธวิสัยแห่งพระพุทธทั้งหลายเป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากเปล่า
ฌายิสฺส ภิกฺขเว ฌานวิสโย อจินฺเตยฺโย น จินฺเตตพฺโพ ยํ จินฺเตนฺโต อุมฺมาทสฺส วิฆาตสฺส ภาคี อสฺส.
ฌานวิสัยแห่งผู้ได้ฌานเป็นอจินไตยไม่ควรคิด ผู้ที่คิดก็จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำปากเปล่า
…………..
คัมภีร์มโนรถปูรณีอันเป็นอรรถกถาของอังคุตรนิกาย ขยายความคำว่า “ฌานวิสโย” ไว้ดังนี้
…………..
ฌานวิสโยติ อภิญฺญาฌานวิสโย.
คำว่า ฌานวิสโย ได้แก่ ฌานวิสัยในอภิญญา
ที่มา: มโนรถปูรณี ภาค 2 หน้า 534
…………..
คำว่า “อภิญญา” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า
“อภิญญา, อภิญญาณ : (คำนาม) “ความรู้ยิ่ง” ในพระพุทธศาสนามี ๖ อย่าง คือ ๑. อิทธิวิธิ การแสดงฤทธิ์ได้ ๒. ทิพโสต หูทิพย์ ๓. เจโตปริยญาณ ญาณรู้จักกําหนดใจผู้อื่น ๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ๕. ทิพจักขุ ตาทิพย์ ๖. อาสวักขยญาณ ญาณรู้จักทําอาสวะให้สิ้นไป. (ป.; ส. อภิชฺญา, อภิชฺญาน).”
ขยายความตามอัตโนมัตยาธิบายว่า ไม่ควรคิดหาคำตอบหรือคำอธิบาย เช่นว่า – ทำไมคนที่สำเร็จฌานจึงเหาะเหินเดินอากาศได้ แสดงอิทธิฤทธิ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์ได้
ท่านไม่ได้ห้ามสงสัย ใครจะสงสัยก็ได้ เชิญสงสัยได้เต็มที่ แต่จะค้นหาคำตอบที่จุใจหรือพอใจตัวเองนั้น จะหาไม่พบ ได้คำตอบตรงนี้ ก็จะไปเจอข้อเยื้องแย้งตรงโน้น ซึ่งในที่สุดก็มักจะจบลงด้วยคำว่า “เป็นไปไม่ได้” ทั้งนี้เพราะเอาวิสัยหรือขอบเขตของผู้คิดหาคำตอบนั่นเองเป็นเกณฑ์ (อะไรที่ฉันทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้ด้วย)
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เหาะได้ ถ้ายังมีกิเลส
: ก็ไม่วิเศษไปกว่ามนุษย์เดินดิน
#บาลีวันละคำ (2,795)
6-2-63