บทความเรื่อง ชวนกันศึกษาพระธรรมวินัย
………………………………….
บทความชุด: ชวนกันศึกษาพระธรรมวินัย
………………………………….
“กฐินสามัคคี” – เครื่องบ่งชี้ถึงการไม่ศึกษา (๐๑๐)
—————————-
ตอนนี้ใกล้จะออกพรรษา เราท่านคงจะได้เห็นและได้ยินคำว่า “กฐินสามัคคี” กันบ่อยขึ้น
โปรดทราบว่า คำว่า “กฐินสามัคคี” เป็นคำที่ใช้กันผิดครับ
กฐินที่ทอดกันทุกวันนี้เป็น “กฐิน” เฉยๆ ธรรมดาๆ
ไม่ใช่ “กฐินสามัคคี” อย่างที่เรียกกันผิดๆ
จะรู้ว่าคำว่า “กฐินสามัคคี” ใช้กันผิด ก็ต้องรู้หลักการหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกฐิน
ซึ่งก็น่าประหลาดที่คนส่วนมากไม่ค่อยรู้
หลักการหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกฐินที่ชาวบ้านควรรู้ก็คือ
– มีเจ้าภาพได้รายเดียว
– ผ้ากฐินมีผืนเดียว
– พระสงฆ์รับกฐินได้ครั้งเดียว
“มีเจ้าภาพได้รายเดียว” หมายความว่า จะเป็นบุคคล คณะบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรใดๆ มาทอด ก็ทอดได้รายเดียว จะแบ่งกันเป็นคณะๆ คณะใครคณะมัน แยกกันเป็นเจ้าภาพมาทอดวัดเดียวกัน แบบนี้ไม่เป็นกฐิน
“ผ้ากฐินมีผืนเดียว” หมายความว่า เมื่อพระสงฆ์รับผ้าของเจ้าภาพรายเดียวแล้ว ก็ใช้ผ้าผืนเดียว จะเป็นสบง จีวร หรือสังฆาฏิ ใช้ผืนใดผืนหนึ่งเพียงผืนเดียวเท่านั้นเป็นผ้ากฐิน ใครหรือเจ้าภาพคนไหนจะเอาผ้าอะไรมาถวายเป็นผ้ากฐินผืนที่ ๒ ผืนที่ ๓ อีก ก็ไม่ใช่ผ้ากฐินอีกแล้ว
“พระสงฆ์รับกฐินได้ครั้งเดียว” หมายความว่า แต่ละวัดรับกฐินได้ปีละครั้งเดียว
“ครั้งเดียว” ในที่นี้หมายความว่า ทันทีที่รับผ้าของเจ้าภาพรายหนึ่งแล้ว จะรับผ้าของเจ้าภาพรายอื่นอีกไม่ได้
…………………
อุปมาให้เห็นภาพ –
พระสงฆ์เหมือนเจ้าสาว
เจ้าภาพเหมือนเจ้าบ่าว
ผ้ากฐินเหมือนสินสอดทองหมั้น
เจ้าสาวรับสินสอดทองหมั้นของเจ้าบ่าวรายหนึ่งแล้ว ก็จบแค่นั้น
จะไปรับของรายอื่นอีกไม่ได้ ฉันใด
พระสงฆ์รับผ้ากฐินของเจ้าภาพรายหนึ่งแล้ว ก็จบแค่นั้น
จะไปรับของเจ้าภาพรายที่ ๒ ที่ ๓ อีกไม่ได้ ฉันนั้น
…………………
แล้ว “กฐินสามัคคี” มายังไง?
ก็มาตามหลักการหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกฐินนั่นเอง
บุญอื่นๆ เช่นถวายสังฆทาน จะถวายกันวันละกี่คนกี่คณะก็ได้
คนนี้ถวายแล้ว คนโน้นมาทีหลังก็ถวายได้อีก ไม่มีจำกัด
แต่บุญกฐินทำแบบนั้นไม่ได้
ใครมาทอดก็แล้วกันไป
ใครมาทีหลัง จะมาทอดซ้ำอีกไม่ได้
เพราะอย่างนี้จึงเกิดมีธรรมเนียม “จองกฐิน”
“จองกฐิน” ก็คือบอกกล่าวให้คนทั้งหลายรู้ล่วงหน้าว่า ฉันจะขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐินวัดนี้
คนที่อยากเป็นเจ้าภาพทอดกฐินบ้างจะได้ไปหาทอดวัดอื่น ไม่ต้องมายุ่งกับวัดนี้ เพราะวัดนี้มีคนจองแล้ว และเจ้าภาพมีได้รายเดียว
การจองกฐินนี้ไม่จำกัดสิทธิ์ของใคร ใครมีศรัทธาก็มีสิทธิ์จองได้ทั้งนั้น
และเมื่อทางวัดรับจองกฐินของเจ้าภาพรายใดรายหนึ่งแล้ว ก็จบแค่นั้น จะรับจองรายอื่นอีกไม่ได้
เหตุเกิดตรงที่มีผู้มาขอจองเป็นเจ้าภาพทอดกฐินวัดเดียวกันหลายราย และมาจองในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างยืนยันว่าฉันต้องได้เป็นเจ้าภาพ
สมมุติว่ามากัน ๓ ราย
แย่งกันเป็นเจ้าภาพ
รายหนึ่ง ได้ทอด
อีก ๒ ราย อด
นี่คือข้อขัดข้องหรือข้อขัดแย้ง
วิธีที่จะได้ทอดด้วยกันทั้งหมดก็คือ ทั้ง ๓ รายรวมตัวกันเป็นรายเดียว แล้วเข้าไปจองกฐินกับทางวัด
ต่างคนต่างทอด ทอดได้รายเดียว
สามัคคีกันทอด ทอดได้หมดทุกราย
แต่ข้อสำคัญอยู่ที่-ต้องรวมตัวกันให้เป็นรายเดียวก่อน
การที่ทุกรายรวมตัวกันเป็นรายเดียวนี่แหละคือความหมายที่ถูกต้องของคำว่า “กฐินสามัคคี”
“กฐินสามัคคี” ต้องเกิดจากการที่-ตอนแรกแย่งกันทอด ไม่มีใครยอมใคร
ตอนหลังเปลี่ยนใจยอมให้รายอื่นมาร่วมด้วย โดยรวมกันเป็นเจ้าภาพเดียวตามหลักการหรือกฎเกณฑ์ของกฐิน
“กฐินสามัคคี” คือมีคนจองหลายราย แล้วตกลงใจรวมกันเป็นรายเดียว
จองรายเดียว ไม่ได้แย่งกับใคร จะเรียกว่า “กฐินสามัคคี” ไม่ถูก
การที่จองรายเดียว
แล้วไปบอกบุญในหมู่ญาติมิตร
แล้วเข้าใจกันว่า ทำแบบนั้นคือ “สามัคคี”
แล้วเลยเรียกกันว่า “กฐินสามัคคี”
นั่นคือความเข้าใจผิด
…………………
แต่เวลานี้ คำว่า “กฐินสามัคคี” กู่ไม่กลับแล้ว
พูดกันผิด ใช้กันผิด จนกลายเป็นถูกไปแล้ว
มีคนคอยช่วยแต่งคำอธิบายให้ฟังแล้วเห็นเป็นถูกซ้ำเข้าไปอีก
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีเจตนาจะให้เลิกใช้คำนั้น หรือจะมาคัดค้านอะไร
เพียงแต่ขอให้ช่วยกันรู้ทัน ว่าอะไรเป็นอะไร
…………………
เรื่องความหมายของถ้อยคำภาษาที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ มีท่านจำพวกหนึ่งคอยบอกเราว่า-มันเป็นธรรมชาติธรรมดาของภาษาที่ยัง “เป็น” อยู่ คือยังมีคนใช้สื่อสารกันอยู่ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงผันแปรเคลื่อนที่ไปเป็นธรรมดา ภาษาไหนๆ ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ
แถมเข้าให้ด้วยว่า-มีแต่ภาษาบาลีเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นภาษาที่ “ตาย” แล้ว
ผมไม่ประสงค์จะรับโต้เถียงอะไร เพียงแต่ขอให้คิดถึงความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งควบคู่ไปด้วย นั่นคือ –
ภาษามันเปลี่ยนแปลงเองไม่ได้
คน-เป็นผู้ทำให้ภาษาเปลี่ยน
ไม่ควรเข้าใจไปว่า-เมื่ออ้างว่าภาษามันต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาเช่นนั้นแล้ว ก็เลยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
นึกอยากจะใช้อย่างไร พูดอย่างไร ก็ใช้ไปพูดไปตามสบาย ผิดถูกอย่างไรไม่รับรู้
ภาษาจะเปลี่ยนไปในทางงาม หรือในทางทราม
ก็คน-ก็คือพวกเรานี่แหละเป็นผู้ทำ
ภาษามันเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้
…………………
อนึ่ง ขอเรียนว่า บุญกฐินเป็นบุญที่เกิดจากพุทธานุญาต
มีเงื่อนไข มีกฎเกณฑ์ มีหลักการ ที่กำหนดไว้ในพระธรรมวินัย
จะทำอะไรกับเรื่องกฐิน โปรดศึกษาพระธรรมวินัยให้ชัดเจน
อย่าคิดเอาเอง
อย่าทำเอาเอง
อย่าทำตามๆ กันไป
ที่นั่นเขาทำแบบนี้
ที่โน่นเขาก็ทำอย่างนี้
อ้างแบบนี้กันมาก
แล้วพระธรรมวินัยกำหนดให้ทำอย่างไรล่ะ
ไม่มีใครอ้าง
ขอร้องเถอะ
ศึกษาหรือปรึกษาพระธรรมวินัยกันบ้างนะครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒
๑๘:๕๘