บทความเรื่อง ชี้โทษ ไม่ใช่จับผิด
ชี้โทษ ไม่ใช่จับผิด (๓)
——————-
ยังไปไม่ถึงข้อความตามป้ายประกาศ ที่ผมบอกว่านี้มีข้อผิดพลาด ๒ แห่ง
ขออนุญาตแวะข้างทางอีกหน่อย
จับเข่าคุยกันให้เคลียร์อีกนิด
………..
ตอนก่อน ผมอ้างถึงพุทธภาษิตที่ตรัสสอนไม่ให้ใส่ใจคำด่า (น ปเรสํ วิโลมานิ …)
พุทธภาษิตบทนั้นควรศึกษาควบคู่ไปกับพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งที่ตรัสสอนให้ใส่ใจคำเตือน
โปรดสดับ –
………..
นิธีนํว ปวตฺตารํ
ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ
ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
ตาทิสํ ภชมานสฺส
เสยฺโย โหติ น ปาปิโย.
แปลเป็นไทยว่า –
พึงเห็นผู้มักชี้โทษเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์
พึงคบหาท่านผู้กล่าวข่มขี่ มีปัญญา เป็นบัณฑิตเช่นนั้นเถิด
เมื่อคบบัณฑิตเช่นนั้น ย่อมมีแต่คุณอันประเสริฐ
หามีโทษที่เลวทรามไม่
ที่มา: บัณฑิตวรรค ธรรมบท พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๖
………..
“จับผิด” = คำด่า ท่านไม่ให้ใส่ใจ
“ชี้โทษ” = คำเตือน ท่านให้น้อมรับ
ในคัมภีร์อรรถกถา (ธัมมปทัฏฐถกถา ภาค ๔ เรื่องที่ ๖๐ ราธเถรวตฺถุ) เล่าเรื่องพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อราธะ เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเมื่ออายุมากแล้ว พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์
พระสารีบุตรจะอบรมสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวอะไร ท่านก็น้อมรับด้วยความเต็มใจ ไม่มีทิฐิมานะว่าตนมีวัยสูงกว่า ถูกเด็กคราวลูกคราวหลานมาสั่งสอน
ในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นที่มาแห่งพุทธภาษิตบทนี้
ในคำอธิบายพุทธภาษิตบทนี้ท่านกล่าวถึงพระภิกษุที่เป็นพระอุปัชฌาย์ไม่อบรมสั่งสอนภิกษุที่เป็นศิษย์
ภิกษุที่เป็นศิษย์ประพฤติผิดพระธรรมวินัย หรือทำอะไรไม่ถูกไม่ควรอย่างไร ก็ไม่ว่าไม่กล่าว เพราะกลัวศิษย์จะโกรธบ้าง กลัวศิษย์จะไม่รักบ้าง และเพราะกลัวศิษย์จะไม่อำนวยประโยชน์ให้ตนบ้าง
ท่านบอกว่าพระอุปัชฌาย์ชนิดนี้เปรียบเหมือนผู้เอาขยะมาเทไว้ในพระศาสนา
ในการอยู่รวมกันเป็นสังคมก็มีคติอย่างเดียวกัน
รู้เห็นว่าใครทำอะไรผิดแล้วปล่อยปละละเลย อ้างว่าไม่ใช่ธุระของเรา ซ้ำอ้างว่าพระพุทธศาสนาสอนไม่ให้มองหาความผิดของคนอื่น
ยังมีภาษิตไทยให้ยกมาสนับสนุนได้อีก —
อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน
อย่าเอามือไปซุกหีบ
เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง …
เห็นอะไรไม่ถูก และทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า-มันไม่ถูก
ทั้งตัวเองก็พอมีศักยภาพที่จะช่วยกันคิดอ่านแก้ไข
แต่-เรื่องอะไรจะแก้ให้โง่
เหตุผลยอดนิยมที่ชอบยกมาอ้างเพื่อสยบฝ่ายตรงข้ามก็คือ –
เข้าไปเล่นเรื่องนี้แล้วถ้าข้าพเจ้าเป็นอะไรไป ใครจะรับผิดชอบ
เรียกร้องค่าตอบแทนทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือ
เจริญเถิด
เราก็เลยพากันเพิกเฉยหมดทุกเรื่อง
เท่ากับช่วยกันทิ้งขยะให้รกสังคมนั่นเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนชี้โทษเหมือนคนบอกขุมทรัพย์
การทำหน้าที่ชี้โทษจึงไม่ใช่เรื่องชั่วช้าเลวทราม
แต่ต้องทำด้วยกุศลจิต คือทำด้วยเจตนาจะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่าผิดอย่างไร ที่ถูกเป็นอย่างไร เพื่อเป็นทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้ทำเช่นนั้นอีก
ที่เราพลาดกันมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฟังคำเตือนเป็นคำด่า
เด็กบอกว่า ลุง ลืมรูดซิป
ฟังเป็นว่า ลุงนี่โง่ชิบ..
มันด่าเรานี่หว่า – ก็เลยเดินเป็นนักเลง ลืมรูดซิปกางเกงไปทั่วบ้านทั่วเมือง
จับผิด-ชี้โทษ เคลียร์นะครับ
…………………
มาถึงเป้าหมายเสียที
ข้อความตามป้ายประกาศ ที่ผมบอกว่านี้มีข้อผิดพลาด ๒ แห่ง คือตรงไหน และผิดอย่างไร
ทบทวนกันอีกรอบ —
……………………….
ประกาศปิดการจราจร
การรถไฟ จะปิดถนนลอดทางรถไฟเพื่อก่อสร้างโครงสร้างสะพานรถไฟ
ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2563
ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป
ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางอื่นในวันดังกล่าว
ขออภัยในความไม่สะดวก
……………………….
ข้อผิดพลาดแห่งที่ ๑ – ใช้คำว่า “เป็นต้นไป” ผิดที่
ถ้าจะใช้คำว่า “เป็นต้นไป”
(๑) คำนี้จะต้องอยู่หลังวัน-เวลาเริ่มต้น
(๒) ใช้ในกรณีที่ไม่มีกำนดวัน-เวลาสิ้นสุดที่แน่นอน
เช่น – “ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จ” หรือจะต่อท้ายด้วยประมาณการว่ากี่เดือนกี่ปีก็ว่าไป
ในที่นี้มีกำหนดวัน-เวลาสิ้นสุดแน่นอนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีคำว่า “เป็นต้นไป”
บอกไปชัดๆ ได้เลย – “ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564” – จบแค่นี้ ไม่ต้องมี “เป็นต้นไป” มาต่อท้าย
ก็เมื่อบอกว่า “ถึงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564” ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแล้ว หมดวัน-เวลาที่กำหนดแล้ว จะเอาวัน-เวลาที่ไหนมา “เป็นต้นไป” อีกเล่า?
ข้อผิดพลาดแห่งที่ ๒ ขอยกไปพูดในตอนต่อไปครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
๑๐:๑๗