อริยปุคฺคล (บาลีวันละคำ 85)
อริยปุคฺคล
อ่านว่า อะ-ริ-ยะ-ปุก-คะ-ละ
ใช้ในภาษาไทยว่า “อริยบุคคล” (อะ-ริ-ยะ-บุก-คน)
ประกอบด้วยคำว่า อริย (เจริญ, ประเสริฐ, ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส) + ปุคฺคล (บุคคล, คน) = อริยปุคฺคล
“อริยบุคคล” แปลว่า “คนผู้เป็นอริยะ” หมายถึงท่านผู้ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุมรรคผลพ้นจากสภาวะปุถุชน
อริยบุคคลแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
1 พระโสดาบัน แปลว่า “ผู้เข้าถึงกระแสธรรม” แต่ยังไม่หมดกิเลส จะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ
2 พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี) แปลว่า “ผู้จะหวนมาอีกครั้งเดียว”
3 พระอนาคามี แปลว่า “ผู้ไม่มา (เกิดเป็นมนุษย์)”
4 พระอรหันต์ แปลว่า “ผู้ไม่มีกิเลส” ไม่เกิดในภพภูมิใดๆ อีก
อริยบุคคลระดับ โสดาบัน ถึง อนาคามี ยังไม่หมดกิเลส แต่เบาบางไปตามลำดับ ยังครองเพศฆราวาสอยู่ก็ได้ อริยบุคคลระดับพระอรหันต์ หมดกิเลสสิ้นเชิง ต้องครองเพศบรรพชิตเท่านั้น ฆราวาสที่บรรลุธรรมระดับอรหันต์ ต้องบวช ถ้าไม่บวชจะนิพพานภายในวันนั้น
ใครเป็นพระอริยบุคคลระดับไหน ผู้เป็นอริยบุคคลระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะรู้ได้บอกได้
เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบพูดว่า หลวงปู่องค์นั้นหลวงพ่อองค์โน้นเป็น “อริยสงฆ์” ก็เท่ากับบอกว่าตัวผู้พูดนั้นก็เป็นอริยบุคคลด้วยนั่นเอง
บาลีวันละคำ (85)
1-8-55
อริยะ
เจริญ, ประเสริฐ, ผู้ไกลจากข้าศึกคือกิเลส, บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น; ดู อริยบุคคล
อริยบุคคล
บุคคลผู้เป็นอริยะ, ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษมีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น มี ๔ คือ
๑. พระโสดาบัน
๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคามี)
๓. พระอนาคามี
๔. พระอรหันต์;
แบ่งพิสดารเป็น ๘ คือ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลคู่ ๑, พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล คู่ ๑, พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล คู่ ๑, พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค และพระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล คู่ ๑
สังโยชน์
กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง;
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้, พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย, พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด, พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ;
ในพระอภิธรรมท่านแสดงสังโยชน์อีกหมวดหนึ่ง คือ ๑. กามราคะ ๒. ปฏิฆะ ๓. มานะ ๔. ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ๕. วิจิกิจฉา ๖. สีลัพพตปรามาส ๗. ภวราคะ (ความติดใจในภพ) ๘. อิสสา (ความริษยา) ๙. มัจฉริยะ (ความตระหนี่) ๑๐. อวิชชา
อริยบุคคล ๗
บุคคลผู้เป็นอริยะ, บุคคลผู้ประเสริฐ, ท่านผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรค เป็นต้น นัยหนึ่งจำแนกเป็น ๗ คือ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุต ทิฏฐิปปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุต และ อุภโตภาควิมุต (ดูคำนั้นๆ)
อริย-, อริยะ
[อะริยะ-] น. ในพระพุทธศาสนา เรียกบุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น ว่า พระอริยะ หรือ พระอริยบุคคล.ว. เป็นของพระอริยะ, เป็นชาติอริยะ; เจริญ, เด่น, ประเสริฐ.
อริยกะ
[อะริยะ-] น. ชื่อชนชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นต้นเค้าของชาวอินเดียบางพวก ชาวอิหร่าน และชาวยุโรปบางพวก, อารยัน ก็ว่า. (ป.).
อริยบุคคล
น. บุคคลผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. (ป. อริยปุคฺคล).