เรื่องสั้นของทองย้อย

ปาฏิหาริย์ที่ร้านข้าวขาหมู

“ผม” ในเรื่องนี้ไม่ใช่ผม-ผู้เขียน

แต่อาจจะเป็นใครก็ได้

บางที-อาจจะเป็นคุณนั่นเอง

…………………

องก์ที่หนึ่ง

———–

ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯ ไปทางนครปฐมตามถนนเพชรเกษม เลยตัวจังหวัดนครปฐมไปเล็กน้อยจะถึงย่านที่เรียกว่าหนองดินแดง เลยคลองหนองดินแดงไปนิดเดียวจะมีร้านข้าวขาหมูอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ขาหมูทั่วไปมักเหนียวเคี้ยวยาก แต่ที่ร้านนี้เปื่อยนุ่ม ผักดองเครื่องเคียงก็นิ่มหอมไม่แข็งกระด้างเหมือนร้านทั่วไป ร้านข้าวขาหมูแห่งนี้มีลูกค้าเต็มร้านตลอดเวลา 

วันไหนมีธุระไปกรุงเทพฯ ขากลับถึงตรงนั้นเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวันผมจะแวะเสมอ

เมื่อวันจันทร์ผมเข้ากรุงเทพฯ ขากลับก็แวะเช่นเคย จอดรถแล้วผมเดินเลยไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลัง แล้วจึงมานั่งในร้าน 

เมื่อลงมือกินข้าวขาหมูผมจึงได้เห็นเขา

ประมาณอายุน่าจะราวๆ ๓๐ ขึ้น หน้าตาเรียบร้อย แต่งตัวก็เรียบร้อย แต่ที่เป็นจุดเด่นก็คือ เขานั่งอยู่บนรถเข็น

เขามากัน ๔ คน สองคนเป็นชายและหญิงสูงอายุหน่อย ผมเข้าใจว่าคงเป็นพ่อกับแม่ ผู้ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งใกล้รถเข็น อ่อนวัยกว่า อาจจะเป็นน้อง

ผมสังเกตเห็นว่าคนที่นั่งร่วมโต๊ะจะคอยตักอาหารมาใส่ในจานของเขา เขาตักข้าวกินเอง ทุกคนกินกันเงียบๆ พูดคุยกันบ้างตามปกติ สีหน้าของเขาเรียบ แต่ดวงตามีแววร่าเริง ผมมองเห็นเพราะรถเข็นของเขาหันหน้ามาทางผม

มีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้ผมสนใจ ทำไมเขาจึงต้องนั่งรถเข็น ผมจินตนาการไปถึงอุบัติเหตุร้ายแรง

ชั่วขณะหนึ่งผมกับเขาสบตากันโดยบังเอิญขณะที่ต่างก็กำลังตักข้าวเข้าปาก

ผมรู้สึกว่าออกจะเสียมารยาท กลัวเขาจะคิดว่า-เหมือนกับผมกำลังตอกย้ำความพิการของเขา

เวลาสบตากับใครที่ไม่รู้จักแล้วเกิดความรู้สึกแบบนี้ ผมจะไม่รีบหลบตาหรือหันหน้าไปทางอื่นให้เป็นพิรุธ แต่จะใช้วิธีมองต่อไปในทิศทางเดิม แต่มองเลยออกไปไกลๆ เหมือนกับว่าผมกำลังตั้งใจมองสิ่งอื่นอยู่ แล้วสายตาของเขาเกิดเข้ามาอยู่ในแนวการมองของผมเอง-นี่ผมก็กำลังทำเนียนแบบนั้น

เวลาเห็นคนมีปัญหาผิดปกติจากเพื่อนมนุษย์ทั่วไปเช่นนี้ ผมมักจินตนาการไปว่าผมเป็นผู้วิเศษ เข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้จนคนคนนั้นผ่านพ้นปัญหานั้นกลับคืนสู่ภาวะปกติ-แล้วผมก็จากไปเงียบๆ อย่างภาคภูมิใจ

ผมตักข้าวขาหมูคำสุดท้ายเข้าปาก รวบช้อน เรียกเด็กมาเก็บเงิน ได้เวลาที่ผมต้องไปแล้ว

ผมลุกจากโต๊ะ ทางออกต้องผ่านโต๊ะที่เขานั่ง 

ผมนึกภาพที่ผมเห็นเมื่อตอนไปเข้าห้องน้ำด้านหลัง

ผมเดินเกือบจะผ่านรถเข็นอยู่แล้ว แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมหยุดอยู่ตรงหน้าเขา 

แล้วผมก็พูด

“ขอโทษนะครับ”

เขาเงยหน้าขึ้นมองผมอย่างแปลกใจ อีก ๓ คนหันมามองผมเป็นตาเดียวกัน ไม่มีใครรู้ว่าผมต้องการอะไร

“คือ- ” ผมใช้จังหวะนั้น ไม่ปล่อยให้พวกเขาตั้งตัว 

“ผมเสียใจด้วยที่-คุณต้องนั่งรถเข็น ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมมีอะไรบางอย่างจะแนะนำ ถ้าคุณกินเสร็จแล้วไปที่ห้องน้ำชาย คุณจะเห็นหมาสีขาวตัวหนึ่งนอนแอบอยู่ที่มุมห้อง ท่าทางเป็นหมาที่พลัดหลงมา มันบาดเจ็บ ตอนนี้เดินไม่ได้ ถ้าคุณไม่รังเกียจ พามันไปรักษา ผมมั่นใจว่าจะต้องมีอะไรที่ดีๆ เกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่ต้องเชื่อผม เพียงแต่ขอให้ลองไปดู ลืมคำพูดของผมเสีย แล้วตัดสินใจอย่างอิสระด้วยตัวคุณเอง ขอให้โชคดีครับ”

ผมเดินออกจากร้าน ไม่หันไปมองใครทั้งสิ้น

——————

——————

องก์ที่สอง

———–

ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯ ไปทางนครปฐมตามถนนเพชรเกษม เลยตัวจังหวัดนครปฐมไปเล็กน้อยจะถึงย่านที่เรียกว่าหนองดินแดง เลยคลองหนองดินแดงไปนิดเดียวจะมีร้านข้าวขาหมูอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ขาหมูทั่วไปมักเหนียวเคี้ยวยาก แต่ที่ร้านนี้เปื่อยนุ่ม ผักดองเครื่องเคียงก็นิ่มหอมไม่แข็งกระด้างเหมือนร้านทั่วไป ร้านข้าวขาหมูแห่งนี้มีลูกค้าเต็มร้านตลอดเวลา 

วันไหนมีธุระไปกรุงเทพฯ ขากลับถึงตรงนั้นเป็นช่วงเวลาอาหารกลางวันผมจะแวะเสมอ

เมื่อวันจันทร์ผมเข้ากรุงเทพฯ ตามที่หมอนัด น้องชายขับรถ พ่อกับแม่ไปด้วย ขากลับก็ชวนกันแวะกินข้าวขาหมูร้านนั้น น้องชายเข็นรถที่ผมนั่งเข้าไปในร้าน แล้วก็สั่งอาหาร

ผมนั่งหันหน้าเข้าร้าน โต๊ะถัดเข้าไปมีลุงคนหนึ่งนั่งกินอยู่คนเดียว หันหน้ามาทางผม แกมองผมบ่อยๆ 

ปกติผมก็ไม่รู้สึกแปลกอะไร คนพิการนั่งรถเข็นต้องถูกมองเหมือนเป็นตัวอะไรที่แปลกประหลาดอยู่แล้ว แต่ลุงคนนี้มองอย่างตั้งใจ

เรากินกันจวนจะอิ่มอยู่แล้ว ผมเห็นลุงเรียกเด็กมาเก็บเงินแล้วลุกขึ้นเดินเหมือนกับจะออกจากร้าน ตอนเดินผ่านรถเข็นที่ผมนั่ง ผมนึกว่าแกจะเดินผ่านไป แต่แล้วจู่ๆ แกก็หยุดตรงหน้าผม พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร

“ขอโทษนะครับ”

แกชะงักนิดหนึ่งเมื่อพวกเราหันไปมองเป็นตาเดียวกัน แต่-นิดเดียวเท่านั้น แล้วแกก็พูดต่อไป

“คือ-ผมเสียใจด้วยที่-คุณต้องนั่งรถเข็น ถ้าคุณไม่รังเกียจ ……”

…………………

…………………

ลุงคนนั้นเดินออกจากร้านไปเมื่อพูดจบคำสุดท้าย “…ขอให้โชคดีครับ” แกไม่หันมามองพวกเราเลยแม้แต่น้อย

เรามองหน้ากัน ดูจากลักษณะท่าทาง แกไม่น่าจะเป็นพวกอปกติ หรือแม้แต่พวกสิบแปดมงกุฎ เราไม่เคยรู้จักกัน และผมไม่รู้ว่าแกมาบอกผมแล้วแกจะได้อะไร 

แต่ที่แน่ๆ ผมไม่จำเป็นต้องทำตาม ไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องเชื่ออะไรด้วยซ้ำ

อิ่มแล้ว น้องชายผมเกิดจะเข้าห้องน้ำขึ้นมา เขาหายไปพักหนึ่งก็เดินหน้าตื่นเข้ามา

“ไปดูเอง” เขาบอก แล้วเข็นรถผมไปห้องน้ำที่อยู่ทางหลังร้าน เมื่อเข้าไปข้างในผมจึงได้เห็นมัน

สุนัขสีขาว นอนขดอยู่ที่มุมห้องน้ำ มันกระดิกหางเมื่อน้องชายเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเขาจับตัวมันพลิกไปอีกข้างหนึ่ง ผมจึงเห็นว่าขาหลังของมันบาดเจ็บ อยู่ในสภาพเน่าเฟะ

ผมเพ่งสายตาจ้องมองมัน แต่กลับมองเห็นเหตุการณ์วันที่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ผมต้องนั่งรถเข็นอยู่จนทุกวันนี้

…………………

…………………

ผมเรียนจบช่างอิเล็กฯ บ้านเราประกอบอาชีพรับจ้างขนส่งของหนัก-ประเภทรื้อถอนบ้านไม้ ขนเสา เครื่องไม้ที่มีน้ำหนักมาก ตลอดจนอุปกรณ์ปลูกสร้างบ้าน เรามีรถบรรทุกหกล้อ ๒ คัน ผมขับคันหนึ่ง น้องชายขับอีกคันหนึ่ง

วันที่เกิดเหตุ ผมกำลังใช้ปั้นจั่นติดรถยกเสาต้นสุดท้ายขึ้นรถ โซ่ปั้นจั่นขาด ผมกระโดดหลบ แต่ขาเตะกันเองทำให้ล้มคว่ำลง เสาต้นนั้นกลิ้งทับตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นมาถึงโคนขา

ผมหมดสติไป ตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่าขาหักทั้งสองข้าง รักษาตัวอยู่ปีหนึ่ง กระดูกเชื่อมติดกันสนิทดี แต่เกิดอาการชาตั้งแต่ท่อนล่างลงไป 

หมอลงความเห็นว่าเส้นประสาทส่วนที่ควบคุมการทำงานตั้งแต่บั้นเอวลงไปถูกทำลาย ทางโรงพยาบาลของรัฐสนใจอาการบาดเจ็บของผม จัดเข้าเป็นกรณีศึกษา แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งหมดหวัง หมอบอกว่าอาการของผมใกล้จะถึงขั้นอัมพาตถาวร 

ร่ายกายของผมตั้งแต่ท่อนล่างลงไปเริ่มหมดความรู้สึก ผมเริ่มคุ้นกับรถเข็นเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ผมยังไม่หมดหวังกับชีวิต ผมเปิดร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่กับบ้าน ขาผมเดินไม่ได้ แต่มือและสมองผมยังใช้การได้ดี

…………………

…………………

ผมไม่ได้เชื่อคำของลุงคนนั้น แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมบอกให้น้องชายเอา “ไอ้ขาว” ใส่รถกลับบ้านด้วย 

ขาของมันเน่า เหม็นตลบ ผมพามันไปหาหมอหมา รักษาอยู่เดือนหนึ่ง แผลหาย ตัวสะอาดขึ้น แต่ยังเดินใช้ขาหน้าลากขาหลัง 

หมอหมาใช้ความสามารถผ่าตัดรักษาอยู่อีกปีหนึ่ง ไอ้ขาวก็เดินได้คล่อง

วันที่ไอ้ขาวเดินได้นั่นเอง ผมก็เจออุบัติเหตุครั้งที่สอง

…………………

…………………

วันนั้นผมรู้สึกเป็นไข้อย่างแรง จึงขอให้น้องชายช่วยขับรถพาไปโรงพยาบาล เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ผมเคยไปบ่อยๆ รถวิ่งตามทางลาดขึ้นไปที่ชั้นสองอันเป็นที่รับ-ส่งผู้ป่วย พนักงานเอารถเข็นของโรงพยาบาลมารับผม ขณะที่ผมนั่งอยู่บนรถเข็น พนักงานคนนั้นเดินไปพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงพยาบาล

ขณะนั้น ผมขยับตัวแล้วบังเอิญไปถูกกลไกอะไรเข้าก็ไม่ทราบ รถเข็นที่ผมนั่งอยู่เกิดเลื่อนที่ไปเอง แล้วไถลลงมาตามทางลาดอย่างรวดเร็ว 

รถไปกระทบกับราวข้างทางแล้วกระดอนไปกระแทกราวอีกข้างหนึ่ง ตัวผมกระเด็นออกจากรถ 

ผมไม่รู้ว่าร่างกายส่วนไหนไปกระทบกับอะไรเข้าบ้าง แต่รู้สึกเหมือนถูกจับเหวี่ยงออกไปนอกโลก แล้วมีอะไรบางอย่างเข้ามาแยกร่างของผมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยเกลื่อน แล้วชิ้นส่วนเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้าหากัน ประกอบรูปกันเข้าเป็นตัวผมอีก แล้วโลกทั้งโลกก็มืดมิด

…………………

…………………

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเพราะรู้สึกปวดที่ขาทั้งสองข้าง ปวดอย่างรุนแรงมากจนผมลืมนึกไปว่าขาผมไม่เคยมีความรู้สึกมาเป็นปีๆ แล้ว

หมอและพยาบาลวิ่งเข้ามาเพราะเสียงร้องของผม ผมบอกว่าผมปวดขา เมื่อหมอใช้มือบีบตรงโคนขา ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้น ผมลองขยับขา มันขยับได้เล็กน้อย 

ขณะนั้นผมลืมความปวดไปชั่วครู่ คำพูดของลุงคนนั้นแว่วเข้ามาในหู …

“ ….. ผมมั่นใจว่าจะต้องมีอะไรที่ดีๆ เกิดขึ้นกับคุณ คุณไม่ต้องเชื่อผม … ”

อีกราวหกเดือนต่อมา ผมก็เริ่มหัดเดินได้อีกครั้งหนึ่ง

——————

——————

องก์ที่สาม

———–

ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯ ไปทางนครปฐมตามถนนเพชรเกษม เลยตัวจังหวัดนครปฐมไปเล็กน้อยจะถึงย่านที่เรียกว่าหนองดินแดง เลยคลองหนองดินแดงไปนิดเดียวจะมีร้านข้าวขาหมูอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ขาหมูทั่วไปมักเหนียวเคี้ยวยาก แต่ที่ร้านนี้เปื่อยนุ่ม ผักดองเครื่องเคียงก็นิ่มหอมไม่แข็งกระด้างเหมือนร้านทั่วไป ร้านข้าวขาหมูแห่งนี้มีลูกค้าเต็มร้านตลอดเวลา 

วันไหนมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ขอแนะนำให้ลองแวะเข้าไปชิม

…….

ผมมัวแต่นั่งนึกถึงคำแนะนำของเพื่อนจนเกือบขับรถเลยร้านข้าวขาหมูร้านนั้น

วันนั้นเป็นวันจันทร์ ผมมีธุระที่เมืองกาญจน์ ออกจากกรุงเทพฯ ราว ๑๑:๐๐ กะว่าจะลองไปกินข้าวขาหมูตามที่เพื่อนแนะนำ

“ร้านอยู่ติดถนน ติดปั๊ม ปตท. หาไม่ยาก” เพื่อนย้ำ

ผมเห็นคนนั่งกันเต็มร้าน เริ่มเชื่อว่าน่าจะอร่อยจริง

“สูงอายุอย่างพวกเรา แถมต้มมะระซี่โครงหมูอีกโถหนึ่ง อร่อยครบสูตร”

จังหวะดี มีโต๊ะว่าง ผมสั่งข้าวขาหมูกับต้มมะระซี่โครงหมูตามสูตรของเพื่อน

ผมจัดการขาหมูหมดไปจานหนึ่ง กำลังตัดสินใจว่าจะเบิ้ลดีหรือไม่ ก็พอดีถูกขัดจังหวะ-เขา กับหมาของเขา

เขามาหยุดอยู่ข้างๆ ผม พร้อมกับหมาสีขาวของเขา หนุ่มใหญ่หน้าตาดี สุภาพ หมาของเขาก็สะอาดและท่าทางฉลาด

“ลุงจำผมได้ไหมครับ?” เขาเอ่ยขึ้น

ผมไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย

“เมื่อสักสามปีที่แล้ว เราเจอกันที่ร้านนี้ ตอนนั้นผมนั่งรถเข็น มากับพ่อแม่แล้วก็น้องชาย ลุงจำได้หรือยัง?”

ผมยิ่งงงมากขึ้น แต่นิยายของเขาน่าสนใจดี-ผมนึก

“ลุงนั่งกินอยู่ที่โต๊ะตรงนั้น” เขาชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งพลางนั่งลงฟากตรงข้ามกับผม “แล้วลุงก็มาบอกผมว่าให้ไปที่ห้องน้ำ จะมีหมาตัวหนึ่งบาดเจ็บอยู่ที่นั่น นี่คือไอ้ขาวหมาตัวนั้น หมาที่ลุงบอกผมให้เอาไปรักษา”

หนุ่มใหญ่คนนั้นบรรยายเหตุการณ์ต่อไปอีกยืดยาว จบลงตรงที่เขาเอาหมาป่วยตัวนั้นไปรักษาและเลี้ยงมันมาจนมันเดินได้เป็นปกติ และตัวเขาเองประสบอุบัติเหตุอีกครั้งหนึ่งเป็นเหตุให้เขาหายจากอัมพาต

ผมรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังดราม่า 

ผมปล่อยให้เขาพูดจนจบ แล้วบอกเขาอย่างจริงใจว่าผมเชื่อเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมด แต่ผมไม่ใช่ “ลุงคนนั้น” อย่างแน่นอน ผมไม่เคยเจอเขามาก่อนไม่ว่าจะเจอที่ไหน ยิ่งถ้าเจอที่ร้านนี่ด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ ผมไม่เคยมากินข้าวที่ร้านนี้ และนี่เป็นครั้งแรกของผม ขอยืนยัน

“ผมเพียงแค่อยากจะขอบคุณ” เขาพูดหลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ ท่าทางออกจะผิดหวังมาก “หลังจากเดินได้เหมือนเดิม ผมพยายามมาดักรอที่ร้านข้าวขาหมูนี่เสมอ ผมจำได้ว่าวันที่เจอลุงที่นี่เป็นวันจันทร์ ทุกวันจันทร์ผมจะมาที่นี่ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เจอลุงอีก …” 

เสียงเขาสั่นเครือแล้วขาดหายไป

“ผมเพียงแค่อยากจะขอบคุณ” เขาพูดคำเดิม “ถ้าลุงไม่แนะนำผม ผมก็คงไม่มีวันนี้”

ผมนั่งนิ่ง ลืมคิดถึงข้าวขาหมูจานที่สองสนิท

“เอายังงี้ก็แล้วกัน” ผมตั้งสติได้แล้ว “เอาเป็นว่าผมรับทราบคำขอบคุณของคุณแทนลุงคนนั้น แต่จะขอให้คุณคิดใหม่ คือขอให้คิดว่าคำแนะนำของลุงคนนั้นหรือของใครก็ตามมันเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กน้อยเท่านั้น แต่ส่วนสำคัญที่สุดมันอยู่ที่การตัดสินใจของคุณเอง คำแนะนำดีแค่ไหน ถ้าคุณไม่ทำตาม มันก็จะไม่เกิดผลอะไรเลย แต่ที่มันเกิดผลก็เพราะคุณลงมือทำ ผลมันเกิดจากการกระทำของคุณเอง ถ้าจะขอบคุณคำแนะนำ ก็ขอให้ขอบคุณตัวเองให้มากกว่านั้นอีกหลายๆ เท่า คนแนะนำจะมีตัวตนหรืออาจจะไม่มีตัวตนก็ได้ บางทีสติของเรานั่นเองอาจแสดงตัวเป็นคนนั้นคนนี้มาแนะนำเรา ถ้าเราฝึกสติให้มั่นคง ก็เหมือนมีคนคอยแนะนำเราอยู่ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นลุงคนนั้นเสมอไป อาจเป็นใครก็ได้ อาจเป็นผมนี่ก็ได้ หรืออาจเป็นตัวคุณเองก็ได้ คุณอาจไม่พบลุงคนนั้นอีกเลย แต่คุณสามารถพบคำแนะนำแบบนั้นได้อีกเสมอ-ในใจคุณเอง”

เขาฟังผมพูดอย่างสงบ มีอาการตรึกตรอง ครั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ผมขออนุญาตกราบขอบพระคุณ ไม่ว่าลุงจะเป็นใครก็ตาม ลุงอาจจะจำผมไม่ได้ แต่ผมไม่มีวันลืมลุงจนวันตาย” 

เขายกมือไหว้ ลุกขึ้นยืน หมาเขาก็ลุกขึ้นด้วย แล้วทั้งคู่ก็ก้าวออกไป

“…ขอให้โชคดีครับ” 

ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงผมพูดหรือเสียงใคร แต่เขาหันมาก้มศีรษะให้ผมเป็นกิริยาขอบคุณก่อนที่จะก้าวพ้นจากร้านข้าวขาหมูไป

——————

——————

ปิดม่าน

——-

ถ้าขับรถจากกรุงเทพฯ ไปทางนครปฐมตามถนนเพชรเกษม เลยตัวจังหวัดนครปฐมไปเล็กน้อยจะถึงย่านที่เรียกว่าหนองดินแดง เลยหนองดินแดงไปนิดเดียวจะมีร้านข้าวขาหมูอยู่ติดกับสถานีบริการน้ำมัน ปตท.

ใครมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ขอแนะนำให้ลองแวะเข้าไปชิม

ถ้าโชคดี อาจจะได้พบใครสักคนเข้ามาทักและเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องให้คุณฟัง

นั่นอาจจะเป็น “ผม” ก็ได้-ถ้าปาฏิหาริย์ที่ร้านข้าวขาหมูมีจริง

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑ มิถุนายน ๒๕๖๐

๑๗:๒๕

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *