เหตุผลของไอ้เขิ่ว
ผมมีญาติรุ่นพี่เป็นฝาแฝดชาย ชื่อ ไอ้ข้อย คนหนึ่ง ไอ้เขิ่ว คนหนึ่ง
คำว่า “ไอ้” ที่นำหน้านั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชื่ออย่างเป็นทางการ แต่เป็นสรรพนามตามวัฒนธรรมการเรียกขานของคนไทย
พ่อแม่ของไอ้ข้อยไอ้เขิ่วเป็นคนรุ่นเก่า แต่งงานกันโดยผู้ใหญ่จัดแจงให้ อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
คนรุ่นเก่าๆ ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น อย่าว่าแต่ใครเลย พ่อแม่ผมเองก็ไม่รู้จักทะเบียนสมรส สมัยผมเป็นเด็ก ผัวเมียกี่คู่ๆ แต่งงานกันแล้วไม่ได้จดทะเบียนสมรสทั้งนั้น
อย่าว่าถึงจดทะเบียนสมรสเลย ทะเบียนสมรสคืออะไรก็แทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ ถึงรู้จักก็ไม่มีใครคิดออกว่าทำไมจะต้องมาเกี่ยวกับการแต่งงาน
ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่สมัยโน้นคุยกันสนุกๆ ในวงข้าววงเหล้าว่า จดทะเบียนกับไม่จดทะเบียนต่างกันอย่างไร
ผู้ใหญ่จะเถียงกันอย่างไรบ้างผมจำไม่ได้ทุกถ้อยกระทงความ แต่ใจความหลักๆ ที่ท่านพูดกันก็คือ ความเป็นผัวเมียนี่มันอยู่ที่รักกันจริงหรือเปล่า รับผิดชอบครอบครัวและช่วยกันทำมาหากินหรือเปล่า มันสำคัญที่ตรงนี้ต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่ทะเบียนสมรส จดทะเบียนหรือไม่จดไม่ใช่เรื่องสำคัญ จดหรือไม่จดมันก็เป็นผัวเมียกันอยู่แล้ววันยังค่ำ
————
ไอ้ข้อยเป็นตำรวจ ไอ้เขิ่วเป็นครู
แปลว่ารับราชการทั้งคู่
การเป็นตำรวจและเป็นครูในสมัยโน้น ไม่ได้แปลว่าเป็นคนหัวก้าวหน้าล้ำสมัยกว่าชาวบ้านทั่วไปแต่ประการใด พี่ชายผมจบนักธรรมชั้นโทก็มีสิทธิ์สมัครเข้าเป็นตำรวจ คุณครูผู้หญิงคนหนึ่งของผมสมัยเรียนชั้นประถมท่านจบแค่ประถม ๔ ทางการศึกษาสมัยนั้นกำลังขาดแคลนครู เห็นว่าพอมีแววก็คัดตัวไปเข้าอบรมวิชาครูเบื้องต้นนิดหน่อยแล้วบรรจุให้เป็นครู ท่านก็สอนคนรุ่นผมมาไม่รู้ว่ากี่รุ่นต่อกี่รุ่นจนเกษียณอายุราชการ
ไอ้ข้อยไอ้เขิ่วแม้ว่าจะรับราชการทั้งคู่ แต่ถึงกระนั้นอิทธิพลของแนวคิด-ผัวเมียไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเหมือนวัวเหมือนควาย-ก็ฝังหัวฝาแฝดคู่นี้อยู่มากพอสมควร เมื่อแต่งงานก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสทั้งคู่
ต่อมาไอ้ข้อยไปได้แรงยุจากพรรคพวกตำรวจด้วยกันว่าจดทะเบียนมีประโยชน์หลายอย่างในแง่กฎหมาย ก็เลยพาเมียไปจดทะเบียนแบบยังงงๆ อยู่
ส่วนไอ้เขิ่วนั้นไม่ได้สนใจเรื่องจดทะเบียนอะไรทั้งสิ้น ซ้ำยังมีท่าทีต่อต้านนิดๆ
“เขาจดทะเบียนเฉพาะงัวควายโว้ย กูไม่ใช่ควาย” ไอ้เขิ่วว่า
คราวหนึ่งเมียไอ้ข้อยป่วยหนัก เสียค่าหมอค่ายาไปเยอะอยู่ ตอนนั้นแหละที่ไอ้ข้อยรู้ว่าจดทะเบียนนี่มันดีอย่างนี้เอง-คือเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เกือบหมด
พอมีลูก จนกระทั่งลูกเข้าโรงเรียน ก็เบิกค่าเล่าเรียนได้อีก
ไอ้ข้อยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับไอ้เขิ่ว
ไอ้เขิ่วตอบทันควันเหมือนคิดไว้หมดแล้ว
“เมียกูลูกกู กูรับผิดชอบได้ เวลาแม่มึงเจ็บป่วยพ่อมึงต้องไปเบิกค่ารักษาที่เทวดายังงั้นรึ ปู่ย่าตายายมึงเลี้ยงลูกจนโตทำมาหากินได้ต้องไปเบิกค่าเล่าเรียนจากใครมั่ง ลูกเมียของตัวเอง มันต้องรับผิดชอบเองจึงจะถูก”
“มึงโง่เหมือนควาย” ไอ้ข้อยใส่เข้าบ้าง
“กูไม่ใช่ควาย มึงนั่นแหละจดทะเบียนเหมือนควาย” ไอ้เขิ่วไม่ลดละ
————-
ผมเพิ่งนึกออกว่า พระพุทธศาสนาในบ้านเรานี่อยู่กินกับคนไทยแบบไม่ได้จดทะเบียนมานานแสนนาน
และคงอีกนานแสนนานกว่าที่จะจดทะเบียนได้
เพราะชาวพุทธแบบไอ้เขิ่วยังมีอีกเยอะ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
๑๐:๐๗