บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

คำเสนอแนะ

ช่วงสงกรานต์นี้ ผมไปทำบุญพิเศษตามเทศกาลที่วัดมหาธาตุราชบุรี ก่อนอนุโมทนายถาสัพพี พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านกล่าวสัมโมทนียกถาเช่นเคย 

“เช่นเคย” หมายความว่า ทำบุญทุกวันพระ หลวงพ่อกล่าวสัมโมทนียกถาก่อนอนุโมทนายถาสัพพี

กล่าวสัมโมทนียกถาก่อนอนุโมทนายถาสัพพี – ผมอยากให้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทย ทุกวัดทำเหมือนกันทุกงานบุญ

อนุโมทนายถาสัพพีนั้นพระท่านสวดเป็นคำบาลี เราส่วนมากไม่ค่อยได้สนใจความหมาย อ้างว่าสวดเป็นภาษาบาลีฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ถ้าศึกษาเรียนรู้ความหมายสักหน่อยก็จะพอเข้าใจว่าท่านสวดว่าอะไร กี่งานๆ พระท่านก็สวดบทเดิม บทสวดพร้อมทั้งคำแปลก็หาอ่านได้ทั่วไป ไม่ใช่ของลึกลับ ภาษาบาลีที่พระสวดก็ไม่ใชภาษามนุษย์ต่างดาว มนุษยธรรมดาสามารถเรียนรู้ได้ ศึกษาเข้าใจสักครั้งเดียว ต่อไปฟังทีไรก็รู้เรื่องได้หมด

ง่ายๆ แค่นี้ ทำไม่ได้ ไม่ทำ ยุ่งยาก มากเรื่อง ไม่เอา ขึ้เกียจ

เกณฑ์ให้พระสวดเป็นภาษาไทยง่ายกว่ากันเยอะเลย

ทางออกที่พอทดแทนกันได้ก็คือ กล่าวสัมโมทนียกถาก่อนอนุโมทนายถาสัพพี 

จะเอาคำอนุโมทนาภาษาบาลีที่แปลเป็นไทยมากล่าวให้ญาติโยมฟังตรงๆ ก็ได้ ดีด้วย จะได้เลิกบ่นว่าพระสวดเป็นภาษาบาลีฟังไม่รู้เรื่อง 

ฟังคำแปลแล้วลองถามตัวเองดูว่า ทีนี้รู้เรื่องหรือยัง

กลัวแต่จะหาเรื่องตีรวนต่อไปอีกว่า ฟังไม่เข้าใจ ทำไมไม่แปลให้ฟังเข้าใจง่ายๆ อ้าว 

ใส่ชามวางไว้ให้ตรงหน้า ก็ตักใส่ปากไม่เป็น (พระธรรมวินัยคำสอนในพระพุทธศาสนาเดี๋ยวนี้หาอ่านได้ง่าย มีทั่วไป แต่ไม่อ่าน ไม่ศึกษา)

ใส่ปากให้แล้ว ก็เคี้ยวขบเองไม่เป็น (เอาคำแปลมาพูดให้ฟังแล้ว ยังบ่นว่าไม่เข้าใจ ยาก ขบคิดเองไม่เป็น)

ใจคอจะไม่ออกแรงอะไรเลยสักอย่าง 

จะเอาแบบ-พอพระเทศน์จบก็บรรลุธรรมได้เองโดยไม่ต้องใช้สติปัญญาของตัวเองให้เหนื่อยยากเลย

ผมสังเกตเห็นว่า คนสมัยนี้ความอดทนน้อยลง ความอุตสาหะที่จะศึกษาเรียนรู้เพื่อบำรุงคุณค่าจิตใจก็น้อยลง

ผู้บริหารการพระศาสนาที่จะเผยแผ่พระธรรมวินัยก็ทำงานได้ยากขึ้น ยิ่งถ้าไม่มีอุดมคติ ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความคิดที่จะเผยแผ่ด้วยแล้ว หนทางที่พระธรรมวินัยจะไปสู่การรับรู้ของสังคมจนถึงนำไปปฏิบัติกันอย่างถูกต้อง ก็ยิ่งคับแคบและตีบตันมากขึ้น 

ที่ว่ามานั่น บ่นครับ – ขอประทานอภัยถ้ารู้สึกรำคาญ

………………

เรื่องที่ตั้งใจจะเสนอก็คือ วัดทุกวัดที่มีญาติโยมมาทำบุญวันพระ ก่อนที่จะยถาสัพพี ขอให้มอบหมายพระรูปหนึ่งกล่าวสัมโมทนียกถาแก่ญาติโยมก่อน พูดตรงๆ ก็คือพูดธรรมะสั้นๆ ให้ญาติโยมฟังก่อน จบแล้วจึงยถาสัพพี

โปรดทราบทั่วกันว่า อนุโมทนายถาสัพพีนั้นของเดิมแท้ๆ สมัยพุทธกาลก็คือการแสดงธรรมให้ญาติโยมฟังหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว

ถ้าฉันรูปเดียว ก็อนุโมทนาคือแสดงธรรมด้วยตนเอง ถ้าไปฉันกันหลายรูป พระเถระที่เป็นประธานในที่นั้นจะมอบหมายให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล่าวอนุโมทนาในนามคณะสงฆ์ ในคัมภีร์มีเรื่องปรากฏบ่อยๆ ว่าชาวบ้านนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมด้วยหมู่ภิกษุไปฉัน เมื่อทำภัตกิจเสร็จแล้ว พระพุทธองค์ก็จะมีพุทธบัญชาให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล่าวอนุโมทนา 

กล่าวอนุโมทนาในสมัยพุทธกาลก็คือแสดงธรรมให้เจ้าภาพฟัง 

เมื่อล่วงกาลผ่านสมัยนานเข้า เกิดมีผู้รู้แต่งบทสวดอนุโมทนาแถมท้ายเป็นพิเศษ นิยมใช้สวดกันมากขึ้น นานไปๆ การแสดงธรรมหายไปเหลือแต่สวดบทอนุโมทนา พระภิกษุสามเณรในเมืองไทยของเราบวชเข้ามาก็รู้จักแต่อนุโมทนาเป็นบทสวด ไม่เคยเห็นอนุโมทนาด้วยการแสดงธรรม จึงนึกไม่เป็นเห็นไม่ได้ว่าอนุโมทนายถาสัพพีไปเกี่ยวอะไรกับการแสดงธรรม

ผมกำลังถวายคำแนะนำให้วัดทั้งหลายเอาวิธีอนุโมทนาด้วยการแสดงธรรมกลับคืนมา

เคยได้ยินแว่วๆ ว่า อนุโมทนาด้วยการแสดงธรรมนั้นบางวัดท่านทำอยู่ แต่เป็นการทำตามนโยบายเฉพาะตัวของท่านเจ้าอาวาส ไม่ได้เป็นนโยบายของคณะสงฆ์ หมดจากเจ้าอาวาสรูปนั้นแล้ว เจ้าอาวาสรูปต่อไปจะทำต่อไปหรือเปล่าก็ทราบไม่ได้

การบริหารงานพระศาสนาบ้านเราเป็นเสียอย่างนี้ คือบริหารด้วยนโยบายส่วนตัวของเจ้าอาวาสมากกว่าที่จะบริหารด้วยนโยบายส่วนรวมของคณะสงฆ์

ผมขออนุญาตถวายข้อเสนอแบบเหวี่ยงแหไปอย่างนี้แหละขอรับ เผื่อท่านเจ้าอาวาสวัดไหนได้ยินได้ทราบเข้า ท่านอาจจะเกิดแนวคิดอะไรขึ้นมาบ้าง

………………

ปัญหาที่เชื่อว่ามีแน่ก็คือ วัดต่างๆ อาจไม่มีพระที่จะสามารถอนุโมทนาเป็นภาษาไทยหรือแสดงธรรมสั้นๆ ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ควรถือเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือฝึกพระภิกษุสามเณรของเราให้มีความสามารถที่จะแสดงธรรม

ถ้าทำให้เป็นนโยบายของคณะสงฆ์ได้ วัดต่างๆ ก็จะต้องเริ่มเตรียมพระของตนให้สามารถทำงานแบบนี้ได้ ซึ่งก็เป็นงานตามหน้าที่อยู่แล้ว เพียงแต่เราละเลยทิ้งขว้างจนลืมกันไปเอง 

งานแบบนี้ผมนึกถึงใคร 

ผมนึกถึง มจร มมร ครับ

มจร มมร ของเราลงทุนลงแรงผลิตพระเณรที่มีคุณภาพส่งให้สังคมมาตลอด โดยอธิบายปลอบใจตัวเองว่า-อย่างไรเสียคนเหล่านั้นก็จะต้องหวนกลับมาเป็นกำลังของพระศาสนาอยู่นั่นเอง 

มจร มมร ผลิตคนเพื่อประโยชน์โดยตรงของแต่ละคนที่เข้ามาศึกษา 

แต่ มจร มมร เคยคิดที่จะผลิตคนเพื่อส่งให้วัดส่งให้พระศาสนาโดยตรงบ้างหรือไม่

ยกตัวอย่างแบบตลกๆ นี่แหละ – วัดต่างๆ ต้องการพระภิกษุสามเณรที่สามารถแสดงธรรมก่อนอนุโมทนายถาสัพพี 

มจร มมร ยินดีผลิตให้

ต้องการเท่าไร บอกมา 

มจร มมร ยินดีผลิตให้ ผลิตแล้วยินดีจัดส่งให้ไปใช้งานตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศได้เลย 

มจร มมร มีหลักสูตรนั่นนี่โน่นมากมาย ลองตั้ง “หลักสูตรนักอนุโมทนา” ขึ้นมาอีกสักหลักสูตรจะได้หรือไม่

มจร มมร เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์

ผลิตคนส่งให้โลก เราทำมาเยอะแล้ว

หันมาผลิตคนส่งให้คณะสงฆ์ของตัวเองโดยตรงบ้างได้ไหม

ผมเสนอแนะอะไร?

๑ ผมเสนอแนะให้วัดต่างๆ อนุโมทนาเป็นภาษาไทยก่อนยถาสัพพี ทำให้เป็นหลักนิยม คือทำกันทุกวัด โยมนิมนต์พระไปสวดมนต์ฉันเช้าฉันเพล อนุโมทนาเป็นภาษาไทยก่อนยถาสัพพีทุกงาน เรื่องนี้ถ้าคณะสงฆ์สั่งก็เกิดเป็นเอกภาพ ต่อไปชาวโลกจะพูดบอกกันว่า พระไทยเทศน์สั้นๆ ก่อนยถาสัพพีทุกงาน ไปดูได้เลย

๒ ผมเสนอแนะให้วัดต่างๆ เตรียมฝึกพระภิกษุสามเณรให้สามารถแสดงธรรมสั้นๆ ก่อนยถาสัพพี 

๓ ผมเสนอแนะ มจร มมร ให้ผลิตคนส่งให้วัดส่งให้พระศาสนาโดยตรงบ้าง หลังจากผลิตคนส่งให้โลกมานานแล้ว ทดลองผลิต “นักอนุโมทนา” เป็นหลักสูตรนำร่องก่อนก็ได้ ต่อไปก็ผลิตเจ้าอาวาส ผลิตเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ผลิตโดยตรง ไม่ใช่แบบอธิบายว่า-ท่านเรียน มจร มมร จบแล้วถ้าอยู่ต่อไปเดี๋ยวท่านก็ได้เป็นเจ้าคณะนั่นนี่เองนั่นแหละ ไม่เอาแบบรอให้บุญกรรมจัดสรร แต่เอาแบบเราวางแผนจัดสรรเอง 

ในฐานะสมาชิกของพระศาสนา ผมทำหน้าที่เสนอแนะแล้ว

ท่านผู้มีตำแหน่ง มีอำนาจ มีหน้าที่ โปรดทำหน้าที่ของท่านเถิด

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๕ เมษายน ๒๕๖๔

๑๖:๔๒

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *