เอกอุ (บาลีวันละคำ 3,290)
เอกอุ
มาจากไหน
อ่านว่า เอก-อุ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เอกอุ : (คำวิเศษณ์) เอกเป็นเลิศ. (ตัดมาจาก เอกอุดม); มากมาย, หนักหนา, เช่น ทำผิดอย่างเอกอุ.”
ได้ความตามพจนานุกรมฯ ว่า “เอกอุ” ตัดมาจาก “เอกอุดม”
“เอกอุดม” อ่าน เอก-อุ-ดม ประกอบด้วยคำว่า เอก + อุดม
(๑) “เอก”
บาลีอ่านว่า เอ-กะ รากศัพท์มาจาก อิ (ธาตุ = ไป, เป็นไป, ตั้งอยู่) + ณฺวุ ปัจจัย, แผลง อิ เป็น เอ, แปลง ณฺวุ เป็น อก
: อิ > เอ + ณฺวุ = เอณฺวุ > เอก แปลตามศัพท์ว่า (1) “ไปตามลำพัง” (คือไม่มีเพื่อนไปด้วย) (2) “ดำรงอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวเพราะไร้ผู้เหมือนกัน”
“เอก” ในบาลีใช้ใน 2 สถานะ คือ :
(1) เป็นสังขยา (คำบอกจำนวน) เช่น “ชายหนึ่งคน” เน้นที่จำนวน 1 คน = มุ่งจะกล่าวว่าชายที่เอ่ยถึงนี้มีเพียง “หนึ่งคน”
(2) เป็นคุณศัพท์ เช่น “ชายคนหนึ่ง” ไม่เน้นที่จำนวน = มุ่งจะกล่าวถึงชายคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
“เอก” หมายถึง หนึ่ง, หนึ่งเดียว, ดีที่สุด
ในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“เอก, เอก– : (คำวิเศษณ์) หนึ่ง (จำนวน); ชั้นที่ ๑ (ใช้เกี่ยวกับลำดับชั้น หรือขั้นของยศ ตำแหน่ง คุณภาพ หรือวิทยฐานะ สูงกว่า โท) เช่น ร้อยเอก ข้าราชการชั้นเอก ปริญญาเอก; เรียกเครื่องหมายวรรณยุกต์รูปดังนี้ ‘่’ ว่า ไม้เอก; ดีเลิศ เช่น กวีเอก, สำคัญ เช่น ตัวเอก; (คำโบราณ) (คำนาม) เรียกลูกหญิงคนที่ ๗ ว่า ลูกเอก, คู่กับลูกชายคนที่ ๗ ว่า ลูกเจ็ด. (คำที่ใช้ในกฎหมาย). (ป., ส.).”
(๒) “อุดม”
บาลีเป็น “อุตฺตม” อ่านว่า อุด-ตะ-มะ รากศัพท์มาจาก อุพฺภ (ยอด, เหนือ) + ตม (ตะ-มะ) ปัจจัย, ลบ พฺภ (อุพฺภ > อุ), ซ้อน ตฺ
: อุพฺภ > อุ + ตฺ + ตม = อุตฺตม แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งที่มีความหมายยิ่งกว่ายอด” เป็นคุณศัพท์ มีความหมายว่า อย่างที่สุด, สูงสุด, ใหญ่ที่สุด, ดีที่สุด (utmost, highest, greatest, best)
บาลี “อุตฺตม” ใช้ในภาษาไทยเป็น “อุดม” (อุ-ดม) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“อุดม, อุดม– : (คำวิเศษณ์) สูงสุด, ยิ่ง, เลิศ, มากมาย, บริบูรณ์. (ป., ส. อุตฺตม).”
เอก + อุดม = เอกอุดม เป็นคำประสมแบบไทย แปลจากหน้าไปหลัง คือแปลว่า “เอกอย่างสูงสุด” (ไม่ใช่คำสมาสที่แปลว่า “อุดมอย่างเอก”)
ขยายความ :
“เอกอุดม” เป็นคำเรียกวุฒิการศึกษาบาลี ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “เปรียญ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายของคำว่า “เปรียญ” ไว้ดังนี้ –
“เปรียญ : (คำนาม) ผู้สอบความรู้พระปริยัติธรรมสายบาลีได้ตามหลักสูตรตั้งแต่ ๓ ประโยคขึ้นไป.”
พระปริยัติธรรมสายบาลีแบ่งระดับชั้นหรือ “ประโยค” เป็น 9 ประโยค แต่เดิมแบ่งกลุ่มเป็น 3 กลุ่ม คือ –
ประโยค 1 ถึง 3 เรียกว่า “เปรียญตรี”
ประโยค 4 ถึง 6 เรียกว่า “เปรียญโท”
ประโยค 7 ถึง 9 เรียกว่า “เปรียญเอก”
นักเรียนบาลีรุ่นโบราณนิยมใช้คำว่า “เปรียญตรี” “เปรียญโท” หรือ “เปรียญเอก” ต่อท้ายชื่อโดยไม่ระบุจำนวนประโยค เช่น –
พระมหาทองย้อย สอบได้ 3 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญตรี” (ประโยค 1 ถึง 3 = เปรียญตรี)
ต่อมา พระมหาทองย้อย สอบได้ 5 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญโท” (ประโยค 4 ถึง 6 = เปรียญโท)
ต่อมาอีก พระมหาทองย้อย สอบได้ 7 ประโยค ใช้ว่า “พระมหาทองย้อย เปรียญเอก” (ประโยค 7 ถึง 9 = เปรียญเอก)
เฉพาะเปรียญเอกยังแยกย่อยออกไปเป็น 3 ระดับ คือ –
– ประโยค 7 เรียก “เอก ส.” (เอก-สอ) มาจากคำว่า “เอกสามัญ”
– ประโยค 8 เรียก “เอก ม.” (เอก-มอ) มาจากคำว่า “เอกมัชฌิมะ” หรือ “เอกมัธยม”
– ประโยค 9 เรียก “เอก อุ.” (เอก-อุ) มาจากคำว่า “เอกอุดม”
“เอกอุดม” เรียกย่อเป็น “เอก อุ.” ต่อมาก็เลยเขียนเป็น “เอกอุ” และเข้าใจกันว่าเป็นคำสำเร็จรูปคำหนึ่ง คือพูดว่า “เอกอุ” โดยไม่ต้องสงสัยหรือถามว่า อุ– อะไร ดังที่พจนานุกรมฯ บอกความหมายดังที่ยกมาข้างต้น
การศึกษาพระปริยัติธรรมสายบาลีแบ่งเปรียญออกเป็น 3 กลุ่มนี้ เข้าใจว่านักเรียบาลีรุ่นใหม่น่าจะไม่ทราบกันเป็นส่วนมาก
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ารู้ และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าศึกษาอีกหลายอย่าง เช่น ทำไมจึงแบ่งระดับชั้นเป็น 9 ประโยค ประโยค 1 และประโยค 2 ปัจจุบันเรียกควบกันว่า “ประโยค 1-2” ทำไมจึงเรียกควบ แต่เดิมเรียกควบเช่นนี้หรือเปล่า และทำไมพระที่สอบประโยค 1-2 ได้ จึงไม่เรียก “พระมหา” จะเรียก “พระมหา” ก็ต่อเมื่อสอบประโยค 3 ได้ เป็นต้น
หน่วยงานคณะสงฆ์ที่ควรรับภารธุระศึกษาค้นคว้ารวบรวมเรื่องเหล่านี้ไว้ให้เป็นองค์ความรู้ที่ครบถ้วน ก็ควรจะเป็นกองบาลีสนามหลวง
ผู้เขียนบาลีวันละคำขอกราบอาราธนาผ่านบาลีวันละคำด้วยความเคารพยิ่ง
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เรื่องของคนอื่นรู้เขาไปทั่ว
: เรื่องของตัวกลับไม่รู้อดสูใจ
#บาลีวันละคำ (3,290)
15-6-64