บาลีวันละคำ

อัปปมาทะ (บาลีวันละคำ 3,303)

อัปปมาทะ

ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

คำในพระสูตร: อปฺปมาโท ธมฺเมสุ (อับ-ปะ-มา-โท จะ ทำ-เม-สุ) 

อัปปมาทะ” อ่านว่า อับ-ปะ-มา-ทะ

อัปปมาทะ” เขียนแบบบาลีเป็น “อปฺปมาท” อ่านว่า อับ-ปะ-มา-ทะ รากศัพท์มาจาก + ปมาท

(๑) “” บาลีอ่านว่า นะ เป็นคำจำพวก “นิบาต” คำจำพวกนี้ไม่แจกด้วยวิภัตติปัจจัย คือคงรูปเดิมเสมอ อาจเปลี่ยนรูปโดยวิธีสนธิกับคำอื่นบ้าง แต่คงถือว่าเป็นคำเดิมเพราะเวลาแปลต้องแยกคำออกเป็นคำเดิมเสมอ 

นักเรียนบาลีมักท่องจำรวมกับคำอื่นในกลุ่มเดียวกันว่า –

…………..

(นะ) =ไม่ 

โน = ไม่ 

มา = อย่า 

(วะ) = เทียว 

…………..

” เป็นนิบาตบอกความปฏิเสธ แปลว่า ไม่, ไม่ใช่ (no, not)

หมายเหตุ: รูปศัพท์ที่ตาเห็นคือ “อปฺปมาท” ควรจะบอกว่า รากศัพท์มาจาก (อะ) + ปมาท แต่เนื่องจาก (อะ) ในที่นี้ไม่ใช่ศัพท์เดิมที่มีอยู่จริง หากแต่เป็นคำที่แปลงมาจาก “” (นะ) อีกทีหนึ่ง ดังนั้น จึงบอกลึกเข้าไปถึงคำเดิมทีเดียว ไม่ต้องบอกเป็น 2 ขยัก

(๒) “ปมาท

อ่านว่า ปะ-มา-ทะ รากศัพท์มาจาก (คำอุปสรรค = ทั่วไป, ข้างหน้า, ก่อน, ออก) + มทฺ (ธาตุ = เมา, มัวเมา) + ปัจจัย, ลบ , “ทีฆะต้นธาตุ” คือ อะ ที่ -(ทฺ) เป็น อา (มทฺ > มาท

: + มทฺ = ปมทฺ + = ปมทฺณ > ปมทฺ > ปมาท (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า (1) “ภาวะเป็นเหตุให้ไม่ทำกิจที่พึงทำด้วยตนเองแห่งบุคคลผู้แม้จะมีความสามารถ” (2) “ความเมาทั่ว

คำแปลตามศัพท์ที่ว่า “ภาวะเป็นเหตุให้ไม่ทำกิจที่พึงทำด้วยตนเองแห่งบุคคลผู้แม้จะมีความสามารถ” หมายความว่า กิจที่มนุษย์ควรทำเพราะเป็นความดีงาม คนบางคนสามารถทำกิจเช่นว่านั้นได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ทำ ทั้งอ้างเหตุต่างๆ ที่จะไม่ทำ นี่คือ “ปมาท” 

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต บอกความหมายของ “ปมาท” ไว้ดังนี้ – 

ปมาทะ : ความประมาท, ความขาดสติ, ความเลินเล่อ, ความเผอเรอ, ความเผลอ, ความผัดเพี้ยน, ความปล่อยปละละเลย, ความชะล่าใจ; เทียบ อัปปมาทะ.”

บาลี “ปมาท” สันสกฤตเป็น “ปฺรมาท” 

สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกไว้ดังนี้ – 

(สะกดตามต้นฉบับ)

ปฺรมาท : (คำนาม) ‘ประมาท,’ อนวธาน, ความเลินเล่อ, ความผิด; ความเมา; ความเสียจริต; inadvertence, carelessness, error, inaccuracy; intoxication; insanity.”

บาลี “ปมาท” ภาษาไทยใช้อิงสันสกฤตเป็น “ประมาท” 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า –

ประมาท : (คำกริยา) ขาดความรอบคอบ, ขาดความระมัดระวังเพราะทะนงตัว, เช่น เวลาขับรถอย่าประมาท; ดูหมิ่น เช่น ประมาทฝีมือ. (คำนาม) ความเลินเล่อ, การขาดความระมัดระวัง, เช่น ขับรถโดยประมาท; (คำที่ใช้ในกฎหมาย) กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่. (ส. ปฺรมาท; ป. ปมาท).”

ในทางธรรม “ประมาท” มีความหมายลึกและละเอียดกว่าที่พจนานุกรมฯ นิยามไว้ ดังบทสวด “อุปกิเลส 16” หัวข้อ “มโท” และ “ปมาโท” บรรยายไว้ดังนี้ –

…………..

มโท : (1) ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรมด้วยความชรามีอยู่ทุกวันๆ มาสำคัญว่ายังหนุ่มยังสาวอยู่ ประมาทไป 

(2) และเมาหลงในร่างกายที่ป่วยไข้อยู่เป็นนิตย์ ต้องกินยาคือข้าวน้ำทุกค่ำเช้า มาสำคัญว่าไม่มีโรค เป็นสุขสบาย ประมาทไป 

(3) และเมาหลงในชีวิตที่เป็นของไม่เที่ยง พลันดับไปดังประทีปจุดไว้ในที่แจ้งฉะนั้น มาสำคัญว่ายังไม่ตาย ประมาทไป

ปมาโท : ความเมามัวทั่วไป อารมณ์อันใดที่น่ารัก ก็ไปหลงรักอารมณ์นั้น อารมณ์อันใดที่น่าชัง ก็ไปหลงชิงชังโกรธต่ออารมณ์เหล่านั้น 

บรรจบเป็นอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ 16 ข้อ จิตเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสข้อใดข้อหนึ่งดังว่ามานี้แล้ว จิตนั้นล้วนเป็นบาปอกุศลหมดทั้งสิ้น.

…………..

ในแง่ภาษาธรรม ท่านจำกัดความคำว่า “ปมาท” ไว้ว่า “สติโวสฺสคฺค” = “การปล่อยสติ” หมายถึง การลดละความตั้งใจ, ความไม่ตั้งใจ, ความไม่เอาใจใส่ (relaxation of attention, inattention, indifference) 

พูดสั้นๆ ว่า ประมาทคือขาดสติ 

…………..

+ ปมาท มีกฎดังนี้ – 

(1) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ให้แปลง เป็น (อะ) 

(2) ถ้าคำหลังขึ้นต้นด้วยสระ คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ให้แปลง เป็น อน (อะ-นะ)

ในที่นี้ “ปมาท” ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ คือ – จึงแปลง เป็น และซ้อน ปฺ ระหว่างบทหน้ากับบทหลัง

: + ปฺ + ปมาท = นปฺปมาท > อปฺปมาท (อับ-ปะ-มา-ทะ) แปลว่า “ความไม่ประมาท” หมายถึง ความรอบคอบ, ความจดจ่อ, ความระวังระไว (earnestness, vigilance, zeal)

อปฺปมาท” เขียนแบบไทยเป็น “อัปปมาทะ

ขยายความ :

มงคลข้อที่ 21 ในมงคล 38 ตามนัยแห่งมงคลสูตร คำบาลีในพระสูตรว่า “อปฺปมาโท ธมฺเมสุ” (อับ-ปะ-มา-โท จะ ทำ-เม-สุ) แปลว่า “ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย” 

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ข้อ [353] มงคล 38 บอกไว้ว่า –

21. อปฺปมาโท ธมฺเมสุ (ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย — Appamāda: diligence in virtue; perseverance in virtuous acts)

…………..

ในคัมภีร์ท่านแสดงอานิสงส์ของ “อัปปมาทะ = ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย” ส่วนหนึ่งไว้ดังนี้ –

…………..

โย  เอวรูโป  ปมาโท  ปมชฺชนา  ปมชฺชิตตฺตํ  อยํ  วุจฺจติ  ปมาโทติ  เอตฺถ  วุตฺตสฺส  ปมาทสฺส  ปฏิปกฺขวเสน  อตฺถโต  กุสเลสุ  ธมฺเมสุ  สติยา  อวิปฺปวาโส  เวทิตพฺโพ. 

โส  นานปฺปการกุสลาธิคมเหตุโต  อมตาธิคมเหตุโต  จ  มงฺคลนฺติ  วุจฺจติ.

ความประมาท ความเลินเล่อ ความเป็นผู้มัวเมาเห็นปานนี้ใด อันนี้เรียกว่าประมาท ความดำรงอยู่โดยไม่ปราศจากสติที่จะบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลาย อันมีความหมายตรงกันข้ามกับความประมาทที่กล่าวแล้วนี้ พึงทราบว่าเป็นความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย. 

ความไม่ประมาทในกุศลธรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นมงคล เพราะเป็นเหตุประสบกุศลนานัปการ และเพราะเป็นเหตุบรรลุอมฤตธรรม.

ที่มา: ปรมัตถโชติกา ขุททกปาฐวัณณนา หน้า 192 

…………..

ดูก่อนภราดา!

: สติมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า

: แต่หายาก

#บาลีวันละคำ (3,303) (ชุดมงคล 38)

28-6-64 

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *