คำพิพากษาข้ามเวลา
คำพิพากษาข้ามเวลา
——————–
เป็นการยุติธรรมหรือไม่ที่คนสมัยใหม่เอาค่านิยมในยุคสมัยปัจจุบันไปตัดสินค่านิยมของคนในยุคก่อนสมัยก่อน
เช่นบอกว่า การที่คนสมัยก่อนคิดอย่างนั้น เป็นคนใจดำ
การที่คนสมัยก่อนทำอย่างนั้น เป็นคนคร่ำครึ
… เป็นคนคับแคบ
… เป็นคนใจแคบ
… เป็นคนงมงาย
… เป็นคนหัวอ่อน
… เป็นคนบ้าอำนาจ
… เป็นคนโง่
ฯลฯ
ตัวอย่างชัดๆ เช่น-สมัยก่อน พ่อแม่เลือกคู่ให้ลูก เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง
หนุ่มสาวสมัยนี้ตำหนิติเตียนระบบที่พ่อแม่หาคู่ครองให้ลูกว่าเป็นระบบคลุมถุงชน กดขี่ลูก พร้อมทั้งประกาศเหตุผลว่า พ่อแม่ไม่ได้เป็นคนอยู่กับเขา แต่ฉันเป็นคนอยู่กับเขา เพราะฉะนั้น ฉันเลือกของฉันเอง พ่อแม่ไม่ต้องมายุ่ง
สมัยนี้ พ่อแม่เลือกคู่ให้ลูกเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง
ลูกเลือกคู่เองเป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง
คู่ครองที่เลือกเองสมัยนี้ปรากฏว่าหย่าร้างกันชุกชุมมาก จนกำลังจะกลายเป็นค่านิยมใหม่-แต่งแล้วไม่หย่าถือว่าผิดปกติ
ต่อไปจะเกิดค่านิยมใหม่ขึ้นไปอีก-หย่าบ่อยๆ ดี มีประสบการณ์!
และในที่สุดชายหญิงจะสมสู่กันชั่วคราวไม่ต่างอะไรกับสัตว์แทบทุกชนิด
แต่แย่กว่าสัตว์บางชนิดที่จับคู่ครั้งเดียวตลอดชีวิต
ตัวอย่างในวงวัดๆ เช่น ประมาณ ๗๐-๘๐ ปีที่ผ่านมานี้ พระเณรต่างจังหวัดเข้าไปหาวัดอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ยากมาก เจ้าอาวาสมักไม่รับ อ้างว่ากุฏิเต็ม
พระเณรสมัยใหม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แล้วตัดสินว่าเจ้าอาวาสใจดำ
พระเณรในกรุงเทพฯ จะไปเรียน มจร มมร เจ้าอาวาสมักไม่ยอม ไม่เต็มใจ แม้ยอมก็ตั้งเงื่อนไขเข้มงวด
พระเณรสมัยใหม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แล้วตัดสินว่าเจ้าอาวาสใจแคบ วิสัยทัศน์แคบ
………………..
ผมอ่านหนังสือ โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ตั้งแต่อายุ ๒๐ กว่าๆ อ่านแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ที่ผู้เขียนตำหนิติเตียนระบบศักดินาอย่างรุนแรงเหมือนกับเป็นสิ่งที่เลวทรามต่ำช้า วาดภาพว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยสมัยเก่ากดขี่ข่มเหงไพร่ฟ้าประชาชนเยี่ยงทาส-ราวกับว่าผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นและได้ถูกกดขี่มาด้วยตนเองจึงเอามาเล่าได้ถูกต้อง
………………..
สิ่งหนึ่งที่เราแทบจะไม่ได้นึกถึงก็คือ สภาพแวดล้อมของยุคสมัยโน้นเป็นอย่างไร ค่านิยมที่เกิดตามยุคตามสมัยเป็นอย่างไร แม้จะนึกถึงบ้างก็เป็นเพียงสันนิษฐานตามหลักฐานเท่าที่เรามองเห็น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้แน่ เราตัดสินคนยุคโน้นอย่างเด็ดขาดบนข้อมูลที่ไม่รู้แน่ ได้แต่สันนิษฐานเอา แล้วเราก็เชื่อว่าข้อสันนิษฐานของเราถูกต้อง เป็นความจริง
………………..
ตัวอย่างการตัดสินข้ามกาลเวลาเรื่องหนึ่งคือ หญิงคนหนึ่งยกที่ดินถวายวัด ทำพิธีถวายโฉนดให้สงฆ์ พระสงฆ์รับมอบโฉนด เจริญชัยมงคลคาถา ชาวบ้านร่วมอนุโมทนากันคับคั่ง
การถวายที่ดินให้วัดสำเร็จแล้วตามเจตนาของผู้ถวาย
แต่ไม่ได้จดทะเบียนโอนให้วัดตามกฎหมายที่กำหนดขึ้นใหม่ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคำนึงถึง
พอแม่ตาย ลูกเป็นผู้รับมรดก ขอโฉนดคืน อ้างว่าที่ดินเป็นมรดกตกแก่ตน ศาลตัดสินให้ที่ดินตกเป็นของลูกผู้รับมรดก เหตุผลมีประการเดียวคือที่ดินไม่ได้จดทะเบียนโอนให้วัด
ข้อเท็จจริงคือเจ้าของที่ดินในขณะมีชีวิตอยู่ถวายที่ดินให้วัดแล้ว ทำพิธีถวายเรียบร้อยแล้ว ที่ดินตกเป็นของสงฆ์แล้วตามเจตนา ณ ขณะนั้น
แต่กฎหมายบอกว่าที่ดินยังเป็นมรดกอยู่เพราะยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้วัด
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างหนึ่ง แต่กฎหมายตัดสินเป็นอีกอย่างหนึ่ง หักล้างข้อเท็จจริง
นี่คือความบกพร่องของกฎหมาย คือไปกำหนดหลักกฎหมายให้แย้งกับข้อเท็จจริง
………………..
นี่เป็นเรื่องเทียบเคียงที่ยกมาเพื่อชวนให้คิดว่า การที่เราซึ่งอยู่ในยุคสมัยหนึ่งไปตัดสินข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอีกยุคสมัยหนึ่งตามความเห็นตามค่านิยมที่ถูกกำหนดขึ้นตามยุคสมัยของเรานั้น เป็นความยุติธรรมแล้วหรือ
สิ่งที่ควรทำก็คือ ศึกษาให้รู้ชัดว่ายุคนั้นสมัยนั้นเขานิยมทำกันอย่างนั้นๆ ตามเหตุผล ตามค่านิยม ตามสิ่งแวดล้อมแบบนั้นๆ (เช่นว่าพ่อแม่สมัยก่อนหาคู่ครองให้ลูกเพราะเหตุผลอย่างนี้ๆ ลูกสมัยนี้หาคู่ครองกันเองเพราะเหตุผลอย่างนี้ๆ เป็นต้น) แล้วกำหนดไว้เป็นหลักฐานหรือเป็นหลักความรู้ แต่การกระทำนั้นๆ ตามค่านิยมนั้นๆ จะดีจะเลวจะโง่จะฉลาด ฯลฯ เราก็แยกไว้เป็นอีกส่วนหนึ่ง ไม่ไปตัดสินอะไรเขา
ถ้าเราตัดสินว่าคนสมัยก่อนโง่+เลว
คนสมัยหน้าก็ตัดสินว่าคนสมัยเราโง่+เลวได้เช่นกัน
แล้วเราได้อะไรขึ้นมา นอกจากความสะใจที่ได้ดูถูกกัน-ซึ่งก็คือดูถูกบรรพบุรุษของตัวเอง
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔
๑๗:๓๓