ความเคารพนับถือ
ความเคารพนับถือ
——————-
เมื่อวันก่อน (๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔) ผมมีกิจจะต้องไปทำแถวๆ ตลาดราชบุรี เสร็จกิจแล้วก็เดินกลับบ้าน เดินลัดเข้าทางวัดช่องลม ถือโอกาสไหว้พระ พระที่มีชื่อของวัดช่องลมคือหลวงพ่อแก่นจันทน์ ไหว้พระแล้วก็เดินเลียบพระอุโบสถไปออกด้านหลัง ซ้ายมือเป็นพระอุโบสถ ขวามือเป็นเมรุ เลี้ยวขวาหลังเมรุก็จะเป็นคลอง ข้ามคลองก็ลัดเลาะทะลุไปถึงบ้านผม
ที่หลังเมรุก่อนจะข้ามคลอง ผมเจอเด็กผู้ชาย ๒ คน อายุคงราวๆ ๖-๗ ขวบ คงมีบ้านอยู่ริมคลอง กำลังเล่นฟันดาบพลาสติกกันตามประสาเด็ก ผมเดินไปถึง เด็กคนที่ตัวใหญ่กว่าก็ยกมือไหว้ คนตัวเล็กก็ยกมือไหว้ตาม เด็กไม่รู้จักผม ผมก็ไม่รู้จักเด็ก
ผมบอกเด็กว่า “อย่าเจ็บอย่าไข้ ขอให้เจริญๆ เถอะลูก” แล้วก็เดินผ่านไป เด็กก็เล่นกันต่อ-ตามประสาเด็ก
……………..
ผมรู้สึกเหมือนได้กินยาอายุวัฒนะ วัฒนธรรมยกมือไหว้คนแก่นี่ผมได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เป็นเด็ก สมัยเป็นเด็กอายุเท่านี้เจอคนแก่ที่ไหนเราจะยกมือไหว้เหมือนไหว้พระ ผู้ใหญ่สั่งสอนไว้อย่างนั้น
๗๐ กว่าปีผ่านไป ต้นไม้วัฒนธรรมต้นนี้ยังมีพืชพันธุ์หลงเหลืออยู่ ผู้ใหญ่ยังสั่งสอนเด็ก พ่อแม่ยังสั่งสอนลูกหลาน แม้จะน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังไม่สูญพันธุ์ นี่แหละที่ผมว่า-รู้สึกเหมือนได้กินยาอายุวัฒนะ
เด็กยกมือไหว้ผม ผมได้อะไรมาบ้าง เด็กเสียอะไรไปบ้าง ในแง่วัตถุไม่ได้ไม่เสียอะไร แต่คุณค่าทางจิตใจมีมหาศาล
ความอ่อนโยนในดวงใจ ความละมุนละไมในดวงจิต ภาษาบาลีท่านเรียกว่า “มุทุ อุชุํ อลํกมฺมนิยํ จิตใจอ่อนโยนนุ่มนวลควรแก่การงาน” จากคุณสมบัติในจิตใจตรงนี้ คนเราก็พร้อมที่จะทำความดีงามอื่นๆ ต่อไปได้อีกเป็นอเนกอนันต์
การเคารพนับถือคนแก่ หรือเคารพนับถือผู้ใหญ่ หรือพูดเป็นคำกลางๆ-การเคารพนับถือกัน เด็กสมัยนี้คงเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ จะต้องเคารพนับถือกันทำไม ไม่ใช่พ่อแม่สักหน่อย (แม้แต่พ่อแม่กูเอง กูยังไม่เคารพนับถือเล้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
เราจึงอยู่กันอย่างกระด้าง แข็งทื่อเข้าใส่กัน แล้วก็พากันเรียกเสียสวยหรูว่า ความเสมอภาค อิสรภาพ
แท้จริงแล้วเรากำลังอยู่กันอย่างสัตว์โดยไม่รู้ตัว
สัตว์มันอยู่รวมกันเป็นฝูง มันอยู่ได้โดยไม่ต้องเคารพนับถือคุณความดีของกัน มันเกรงกลัวกันที่ความใหญ่โตของร่างกายและเขี้ยวเล็บที่จะทำร้ายกันได้เจ็บปวดรุนแรงกว่าเท่านั้น
แต่แม้กระนั้น สัตว์บางชนิดมันยังคิดได้-แม้จะเป็นแค่เรื่องในนิทานชาดก แต่ก็สอนคุณค่าทางจิตใจให้มนุษย์เราได้-อย่างเช่นในติตติรชาดกเป็นต้น
ขออนุญาตยกมาให้อ่านกันตรงนี้เลย
ชาดกที่ชื่อ “ติตติรชาดก” (แปลว่า ชาดกว่าด้วยนกกระทา) ในพระไตรปิฎกมี ๔ เรื่อง เรื่องราวแตกต่างกัน ติตติรชาดกที่ประสงค์คือเรื่องนี้
……………..
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งอยู่แถบหิมพานต์ สัตว์ ๓ สหาย คือ นกกระทา ๑ ลิง ๑ ช้าง ๑ อาศัยต้นไทรใหญ่นั้นอยู่
ทั้งสามสัตว์นั้นมิได้เคารพ มิได้ยำเกรงกัน มีความประพฤติไม่กลมเกลียวกันอยู่
จึงสัตว์ ๓ สหายนั้นปรึกษากันว่า โอ พวกเรา ทำอย่างไรจึงจะรู้ได้แน่ว่าบรรดาพวกเราผู้ใดเป็นใหญ่โดยกำเนิด พวกเราจะได้สักการะ เคารพ นับถือ บูชาผู้นั้น แลจะได้ตั้งอยู่ในโอวาทของผู้นั้น
จึงนกกระทาและลิงถามช้างว่า สหาย ท่านจำเรื่องเก่าแก่อะไรได้บ้าง
ช้างตอบว่า สหายทั้งหลาย เมื่อฉันยังเล็ก ฉันเดินคร่อมต้นไทรนี้ไว้ในหว่างขาหนีบได้ ยอดไทรพอระท้องฉัน ฉันจำเรื่องเก่าได้ดังนี้
นกกระทากับช้างถามลิงว่า สหาย ท่านจำเรื่องเก่าแก่อะไรได้บ้าง
ลิงตอบว่า สหายทั้งหลาย เมื่อฉันยังเล็ก ฉันนั่งบนพื้นดินเคี้ยวกินยอดไทรนี้ ฉันจำเรื่องเก่าได้ดังนี้
ลิงและช้างถามนกกระทาว่า สหาย ท่านจำเรื่องเก่าแก่อะไรได้บ้าง
นกกระทาตอบว่า สหายทั้งหลาย ในสถานที่โน้นมีต้นไทรใหญ่ ฉันกินผลจากต้นไทรใหญ่นั้นแล้วได้ถ่ายมูลไว้ ณ สถานที่นี้ ต้นไทรต้นนี้เกิดจากต้นไทรใหญ่นั้น เพราะฉะนั้น ฉันจึงเป็นใหญ่กว่าโดยกำเนิด
ลิงกับช้างได้กล่าวกับนกกระทาว่า บรรดาพวกเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่าโดยกำเนิด พวกเราจักสักการะ เคารพ นับถือ บูชาท่าน และจะตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกกระทาได้ให้ลิงกับช้างสมาทานศีลห้าและตนเองก็ประพฤติสมาทานในศีลห้า
สัตว์ทั้งสามมีความเคารพยำเกรงกัน มีความประพฤติกลมเกลียวกันอยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วัตรจริยานี้แลได้ชื่อว่า ติตติริยพรหมจรรย์
เย วุฑฺฒมปจายนฺติ
นรา ธมฺมสฺส โกวิทา
ทิฏฺเฐ ธมฺเม จ ปาสํสา
สมฺปราโย จ สุคฺคติ.
คนเหล่าใดฉลาดในธรรม
ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่
ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสรรเสริญในปัจจุบันนี้
และมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ที่มา: เสนาสนขันธกะ วินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๒๖๒-๒๖๓
ติตติรชาดก: เอกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๓๗
ท่านผู้ใดปรารถนาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ผมปักป้ายบอกทางไว้ให้แล้ว หรือถ้าจะว่าไปก็อุปมาเหมือนคดข้าวใส่จานยกมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมแล้ว ตักใส่ปากกันเองนะครับ ไม่ต้องให้ป้อน
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔
๑๓:๒๑
………………………….
ภาพประกอบ: จาก google