ด่าอย่างสร้างสรรค์
ด่าอย่างสร้างสรรค์
——————-
ผมเป็นสมาชิกกลุ่มไลน์อยู่หลายกลุ่ม สมัครใจเป็นผู้เลือกอ่าน-ครับ เลือกอ่าน ไม่ได้อ่านดะหมดทุกเรื่อง
เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๔ – ก็ ๕ เดือนมาแล้ว ผมอ่านพบข้อความที่มีสมาชิกโพสต์ในไลน์กลุ่มหนึ่ง อ่านแล้วเห็นว่ามีคติน่าคิด ก็เลยบันทึกเก็บไว้
ผมเคยบอกญาติมิตรแล้วว่า ปกติผมไม่นิยม “แชร์” ภาพและเรื่องที่ผ่านเข้ามาตามช่องทางสื่อสาร แต่เฉพาะเรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดี จึงขออนุญาตนำมาเสนอสู่กันอ่าน ขออนุญาตตัดข้อความที่พาดพิงตัวบุคคลออก
อย่าลืมว่าเป็นเหตุการณ์ที่บันทึกไว้เมื่อ ๕ เดือนมาแล้วนะครับ
…………………………
๓ วันมานี้ เห็นความ “รีบที่จะด่า” ของโซเชียลอยู่ ๓ เรื่อง
๑. หมอท่านหนึ่งที่ … ได้รับรูปคนที่มาฉีดวัคซีนโควิดที่ไม่ใช่แพทย์พยาบาล แล้วพาลไปคิดว่าเป็น VIP ที่แทรกมาได้คิวก่อน จนคนด่าเจ้าหน้าที่กันทั่ว สรุปว่า แกเข้าใจผิด เพราะนั่นคือเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องได้ฉีดวัคซีนเหมือนกัน ผอ.โรงพยาบาลโดนเรียกสอบ พักงาน แล้วหมอก็ออกมาบอกว่าขอโทษ แล้วทำงานต่อไปตามปกติ
๒. อุบัติเหตุรถชนตีนสะพานลอย บันไดทางขึ้นช่วงแรกเสียหายเมื่อตอนเย็นวันที่ ๑ เจ้าหน้าที่ทางหลวงก็เข้าไปตรวจสอบคืนนั้นทันที แล้วแขวนป้ายห้ามขึ้น รุ่งเช้าชาวบ้านเอาป้ายออกแล้วพยายามใช้สะพานลอยเดินข้าม เกิดเป็นภาพอันทุลักทุเล สื่อเอาไปลง คนแคปเอาไปด่ากันสนุกปาก ในเวลาหลังเกิดเหตุไม่ถึง ๑๖ ชม.เลย ใครจะไปซ่อมทัน แล้ววันต่อมากรมทางหลวงก็เข้าไปสร้างบันไดเหล็กชั่วคราวให้ชาวบ้านใช้ … คนที่ด่าก็บอกว่า ถ้าไม่ด่าก็ไม่รีบทำงาน กลายเป็นงั้นไป
๓. พระวัด … เห็นคนโครงการรถไฟใต้ดินมารังวัดบริเวณในวัด เลยคิดว่าวิหารเจดีย์เก่าแก่อายุนับ ๒๐๐ ปีจะโดนเวนคืน เลยโพสต์ลงโซเชียล ข่าวเอาไปลงหนักไปอีกว่า จ่อทุบทิ้ง คนเอาไปด่ากัน ถึงขนาดจะไปลงชื่อคัดค้าน วันต่อมา รฟม. ออกมาบอก ไม่ได้จะเวนคืน แค่ไปสำรวจเขตทาง ชาวโซเชียลบอกว่า ถ้าไม่ออกมาโวย โดนเวนคืนไปแล้ว
ผู้เขียน: pirom
…………………………
เบื้องหลังเบื้องลึกของเรื่องทั้ง ๓ ข้อเท็จข้อจริงเป็นอย่างไร อยู่นอกกรอบขอบเขตนะครับ ขอบเขตของผมอยู่แค่-ชวนให้คิดว่า เห็นข่าวอะไรทำไมจึงรีบ “ด่า” กันจัง
ถ้าไม่ด่า ก็ไม่รีบทำงาน
ถ้าไม่ออกมาโวย โดนเวนคืนไปแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้จริง การด่าการโวยก็เป็นวิธีแก้ไขและป้องกันปัญหาได้
แต่ถ้าไม่ใช่ ทำไมจึงรีบ “ด่า” กันจริง
…………………………
สืบข่าวให้รอบคอบ
อย่าด่วนชอบอย่าด่วนชัง
ไป่แจ้งที่จริงจัง
อย่าใจร้อนผสมโรง
…………………………
นานแล้ว ก่อนเข้าพรรษา วันพระหนึ่งผมไปทำบุญที่วัดมหาธาตุ ราชบุรี พรรคพวกที่กว้างขวางในวงการประชาสัมพันธ์มากระซิบบอกว่า พระที่วัดข้างบ้านผมติดโควิด
เผื่อญาติมิตรจะงง “วัดข้างบ้านผม” เป็นคนละวัดกับวัดมหาธาตุนะครับ บ้านผมอยู่ข้างวัดนี้ แต่ผมไปทำบุญวัดมหาธาตุซึ่งอยู่ไกลออกไป ถ้ายังงงอยู่อีกว่าทำไมไม่ทำบุญวัดข้างบ้าน ตอบว่า-ก็เพราะวัดมหาธาตุเป็นสำนักที่ผมบวชเรียนมานี่ครับ ทีนี้คงไม่งงแล้ว
ผมฟังคำบอกเล่าว่า “พระที่วัดข้างบ้านผมติดโควิด” ผมก็ทำอย่างที่ภาษาในระบบราชการเรียกว่า “รับทราบ” แต่ไม่ได้สั่งการอะไรต่อไป คือแค่รับทราบเฉยๆ ไม่ต้องเอาไปบอกต่อ
ผมรู้สึกว่า แค่ “รับทราบเฉยๆ” คนเราก็มักทำกันไม่ค่อยได้ รู้อะไรมาถ้าไม่บอกต่อแล้วอกจะแตก-ประมาณนั้น
ผมได้ระแคะระคายมาอีกนิดหน่อยว่าพระที่วัดข้างบ้านคือพระรูปไหน แล้วก็สังเกตเห็นว่า พระรูปนั้นซึ่งเคยออกบิณฑบาตประจำก็ไม่ได้ออกบิณฑบาตมาหลายวัน
รูปการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็-ใช่แล้ว ข่าวนี้ชัวร์
ผมทำไง? ผมก็รับทราบเฉยๆ ไปตามปกติตามเคย ไม่ได้บอกหรือคุยเรื่องนี้กับใคร-แม้แต่กับคนในบ้าน
ครึ่งเดือนผ่านไป ความจริงจึงปรากฏว่า
…………………………
๑ พระที่วัดข้างบ้านผมท่านไปกิจนิมนต์ที่บ้านโยมคนหนึ่ง
๒ ปรากฏในภายหลังว่าโยมคนนั้นติดโควิด
๓ ทางการทราบก็ขอให้ท่านกักตัวเองอยู่ในกุฏิดูอาการ
๔ พระรูปนั้นก็เลยออกบิณฑบาตไม่ได้
๕ ครบกำหนดวันที่กักตัวเองแล้ว ปรากฏว่าพระท่านไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้ติดอะไรทั้งสิ้น สบายดีทุกอย่าง
๖ จบข่าว
…………………………
เห็นอานิสงส์ของความไม่รีบด่าไม่รีบโวยกันมั่งไหมครับ
…………………
อีกเรื่องหนึ่งที่เราทำกันไม่เป็นก็คือ ด่าอย่างสรางสรรค์
“ด่าอย่างสรางสรรค์” ก็คือด่าอย่างที่ชอบด่ากันนั่นแหละ เห็นอะไรไม่ถูกใจก็ด่าเลย
แต่เพิ่ม “ข้อเสนอแนะ” เข้าไปด้วย
คือบอกวิธีแก้ปัญหาแนบท้ายคำด่าเข้าไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือเป็นหน่วยงาน หรือเป็นระบบ บกพร่องอะไร บกพร่องอย่างไร ด่าไปให้สะใจ จบแล้วบอกด้วยว่า วิธีแก้ไขคือทำอย่างนี้ ๑… ๒… ๓…
แบบนี้แหละที่เราไม่เคยบอกไม่เคยสอนกันให้ทำ เราเอาแต่ด่าอย่างเดียว เราไม่เคยฝึกใช้สมองใช้สติปัญญาคิดหาวิธีแก้ปัญหาข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในสังคม แต่เราถนัดที่จะตำหนิติเตียนด่าว่ากัน
พอถามถึงวิธีแก้ปัญหา เราก็บอกว่า-ไม่ใช่หน้าที่
ซ้ำอ้างด้วยว่า เขามีหน่วยงานหรือคนนั้นคนนี้มีหน้าที่แก้ปัญหาอยู่แล้ว จะต้องไปเสนอแนะอะไรอีก ด่าอย่างเดียว พอ
จึงดูเหมือนว่า เรากับผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านเมืองเป็นคนละพวกคนละฝ่ายกัน เหมือนอยู่กันคนละประเทศ
ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองและมีข้อบกพร่องเยอะแยะไปหมด
ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ตำหนิด่าว่าอย่างเดียว
แนวคิดของผมก็คือ
ถ้ายังเลิกด่าไม่ได้ ก็ด่าไปเหมือนเดิม
แต่เติมข้อเสนอแนะลงไปสักหน่อย
รสด่าจะอร่อยและสร้างสรรค์กว่าเดิมครับ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
๑๓:๔๖