สรภัญญะ (บาลีวันละคำ 3,403)
สรภัญญะ
ไม่ใช่ร้องเพลง
อ่านว่า สะ-ระ-พัน-ยะ ก็ได้ สอ-ระ-พัน-ยะ ก็ได้
(ตามพจนานุกรมฯ)
ประกอบด้วยคำว่า สร + ภัญญะ
(๑) “สร”
บาลีอ่านว่า สะ-ระ รากศัพท์มาจาก –
(1) สรฺ (ธาตุ = แล่นไป) + อ (อะ) ปัจจัย
: สรฺ + อ = สร แปลตามศัพท์ว่า “เสียงที่แล่นไปสู่ผู้ฟัง”
(2) สรฺ (ธาตุ = ออกเสียง) + อ (อะ) ปัจจัย
: สรฺ + อ = สร แปลตามศัพท์ว่า “เสียงอันเขาเปล่งออกไป”
“สร” (ปุงลิงค์) ในที่นี้ หมายถึง เสียง, เสียงสูงต่ำ, สำเนียง, การออกเสียง (sound, voice, intonation, accent)
ขยายความ :
“สร” ตามที่แสดงรากศัพท์นี้เป็น “สร” ที่ประสงค์ในที่นี้ คือที่หมายถึง “เสียง”
แต่ “สร” ในบาลียังมีความหมายอย่างอื่นอีก กล่าวคือ –
๑ สร = สระ (ที่คู่กับพยัญชนะ) แปลตามศัพท์ว่า “อักษรที่เป็นไปเองได้โดยไม่ต้องอาศัยอักษรอื่น” หรือ “อักษรเป็นเครื่องเป็นไปได้แห่งอักษรอื่นๆ” (มีสระ พยัญชนะจึงออกเสียงได้)
๒ สร = ลูกศร แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งเป็นเครื่องเบียดเบียนสัตว์” หรือ “สิ่งอันเขายิงไป” (ฝรั่งว่า “สร” เป็นชื่อของไม้อ้อ [the reed, saccharum] อาวุธชนิดนี้แต่เดิมทำด้วยไม้อ้อ จึงได้ชื่อว่า “สร”)
๓ สร = สระน้ำ, บึง, หนองน้ำธรรมชาติ แปลตามศัพท์ว่า “แหล่งน้ำที่เป็นไปตามปกติ”
๔ นอกจากนี้ “สร” ยังแปลว่า ระลึกถึง, ไป, เคลื่อนไหว, ตามไป, ของเหลว, การไหล
“สร” เป็นคำ “พ้องรูป” ในภาษาบาลี คือเขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน
(๒) “ภัญญะ”
เขียนแบบบาลีเป็น “ภญฺญ” อ่านว่า พัน-ยะ รากศัพท์มาจาก ภณฺ (ธาตุ = กล่าว, ส่งเสียง) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, แปลง ณ ที่สุดธาตุกับ ย (ที่เหลือจาก ณฺย ลบ ณฺ) เป็น ญฺญ
: ภณฺ + ณฺย = ภณณฺย > ภณฺย > ภญฺญ แปลตามศัพท์ว่า “การกล่าว” “การสวด” หมายถึง การท่อง, การสวด (reciting, preaching)
สร + ภญฺญ = สรภญฺญ (สะ-ระ-พัน-ยะ) แปลว่า “การสวดด้วยเสียง” หมายถึง การสวดทำนอง, การสวดสรภัญญะ (intoning, a particular mode of reciting)
“สรภญฺญ” ภาษาไทยใช้ทับศัพท์เป็น “สรภัญญะ”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า –
“สรภัญญะ : (คำนาม) ทํานองสําหรับสวดคําที่เป็นฉันท์, ทํานองขับร้องทํานองหนึ่ง, เช่น สวดสรภัญญะ ทำนองสรภัญญะ. (ป.).”
ขยายความ :
ในพระวินัยปิฎก มีเรื่องพระฉัพพัคคีย์สวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ ชาวบ้านติเตียน พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติห้ามไว้ว่า –
…………..
น ภิกฺขเว อายตเกน คีตสฺสเรน ธมฺโม คายิตพฺโพ
โย คาเยยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดพระธรรมด้วยทำนองยาวคล้ายเพลงขับ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ที่มา: ขุททกวัตถุขันธกะ จุลวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 20
…………..
เนื่องจากทรงห้ามการสวด “คีตสฺสร = ทำนองยาวคล้ายเพลงขับ” ซึ่งหมายถึงสวดเหมือนร้องเพลง ภิกษุทั้งหลายจึงไม่กล้าสวดแบบ “สรภัญญะ” แต่ปรากฏว่าทรงอนุญาตให้สวดเป็น “สรภัญญะ” ได้ ดังความในพระวินัยปิฎกว่า –
…………..
เตน โข ปน สมเยน ภิกฺขู สรภญฺเญ กุกฺกุจฺจายนฺติ ฯ
อถโข เต ภิกฺขู ภควโต เอตมตฺถํ อาโรเจสุํ ฯ
อนุชานามิ ภิกฺขเว สรภญฺญนฺติ ฯ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายรังเกียจในการสวดสรภัญญะ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดเป็นทำนองสรภัญญะได้
ที่มา: ขุททกวัตถุขันธกะ จุลวรรค ภาค 2 พระไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 21
…………..
อรรถกถาขยายความว่า “สรภัญญะ” มีระเบียบวิธีสวดที่เรียกว่า “วัตร”ถึง 32 แบบ ให้ชื่อไว้เป็นตัวอย่าง 3 แบบ คือ –
ตรังควัตร ทำนองดังคลื่น
โทหกวัตร ทำนองดังรีดนมโค
คลิวัตร ทำนองดังของเลื่อน
คำแปลชื่อ “วัตร” หรือแบบแผนการสวด “สรภัญญะ” นี้ เป็นของท่านผู้แปลคัมภีร์อรรถกถา คือคัมภีร์สมันตปาสาทิกา ภาค 3 หน้า 336 ฉบับแปลคือ จตุตถสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย จุลวรรควรรณา หน้า 496
ปักป้ายบอกทางไว้เพื่อให้นักเรียนบาลีช่วยกันตามไปศึกษาว่า ทำนอง “สรภัญญะ” ทั้ง 32 แบบนั้นมีอะไรบ้าง และชื่อทำนองตามตัวอย่างที่ท่านแปลไว้ “ตรังควัตร ทำนองดังคลื่น -โทหกวัตร ทำนองดังรีดนมโค – คลิวัตร ทำนองดังของเลื่อน” นั้น คือสวดแบบไหน
อย่างไรก็ตาม อรรถกถาก็ย้ำว่า ไม่ว่าจะสวดด้วยทำนองแบบไหน หลักสำคัญคือ ต้องไม่ทำให้ตัวบทเกิดความคลาดเคลื่อน และที่สำคัญต้องเหมาะแก่สมณสารูป
…………..
ดูก่อนภราดา!
: เพลงประกอบด้วยธรรม ควร
: ธรรมประกอบด้วยเพลง ไม่ควร
#บาลีวันละคำ (3,403)
6-10-64