บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ครูกับศิษย์

ครูกับศิษย์

—————————-

ตามแนวคิดของคนโบราณ

…………..

เมื่อวันก่อน ได้อ่านข้อความที่นักเรียนบาลีท่านหนึ่งเรียกอาจารย์ผู้สอนบาลีท่านหนึ่งว่า “อาจารย์พ่อ” 

อ่านแล้วรู้สึกชุ่มชื่นในหัวใจ

คนโบราณท่านว่าหัวใจของคนเรามีน้ำเลี้ยงอยู่ 

ถ้าน้ำเลี้ยงแห้ง หัวใจจะหดหู่ห่อเหี่ยว 

ถ้าน้ำเลี้ยงเต็ม หัวใจจะชุ่มชื่น 

เรื่องบางเรื่องเหมือนมาช่วยเติมน้ำเลี้ยงหัวใจ

ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเป็นข้อปรารภเพื่อขยายความสู่กันฟัง

——————

คำเก่าของไทย เรียกศิษย์ว่า “ลูกศิษย์” 

ผมจินตนาการความหมายเอาเองว่า-หมายถึงศิษย์ที่รักเหมือนลูก

คือบรรดาความรักของสัตวโลกนั้น พ่อแม่รักลูกเป็นสุดยอดของความรัก เป็นความรักที่ยอมสละให้ได้ทั้งหมดอย่างไม่คิดชีวิต 

ผมเคยเห็นเหยี่ยวโฉบลูกไก่ แล้วแม่ไก่โผบินตามเหยี่ยวขึ้นฟ้าแบบไม่คิดชีวิต 

ธรรมชาติของไก่บินไม่ได้เหมือนนก ไหนเลยจะตามเหยี่ยวทัน

จะเป็นเพราะตกใจหรืออะไรก็ไม่รู้ เหยี่ยวปล่อยลูกไก่หล่นลงมา แม่ไก่ก็โผตามลูกลงมา

ผมเห็นเหตุการณ์นี้ตั้งแต่เป็นเด็ก แต่ยังจำภาพได้ติดตาติดใจ

……………

ถ้าเอาความรักเหมือนลูกเป็นเพดาน หรือเป็นมาตรฐาน แล้วปรับความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานะเหนือกว่ากับคนคนที่มีฐานะต่ำกว่าไปสู่ความสัมพันธ์-เหมือนพ่อแม่กับลูก 

สังคมจะอยู่กันอย่างปลอดภัยและอบอุ่น

ผมเห็นว่าคนโบราณใช้หลักนี้ คือรักคนคราวลูกเหมือนกับรักลูก

นอกจากลูกของตนเอง คนโบราณแผ่ความรักอย่างลูกไปถึงคนอื่นๆ ด้วย

จะเห็นได้จากคำบางคำในภาษาไทย เรียกคนที่ไม่ใช่ลูก แต่รักเหมือนลูก เช่น –

“ลูกจ้าง” = คนที่จ้างมาทำงาน-ที่รักเหมือนลูก

“ลูกน้อง” = คนมีอายุคราวน้อง-ที่รักเหมือนลูก

“ลูกมือ” = คนช่วยงานใกล้ตัว-ที่รักเหมือนลูก

“ลูกเลี้ยง” = ไม่ใช่ลูก แต่เลี้ยงมาเหมือนลูก

แม้กระทั่ง “ลูกค้า” = ผู้ซื้อของหรือผู้ใช้บริการ ที่ผู้ประกอบการมีความรู้สึกรักเหมือนพ่อแม่รักลูก คืออยากให้ได้ของดีๆ ได้บริการที่ดี

และ-ลูกศิษย์ = ศิษย์-ที่รักเหมือนลูก 

ครูบาอาจารย์ย่อมรักศิษย์เหมือนกับรักลูกของตัวเอง เราจึงมีคำว่า “ลูกศิษย์”

ผมเกิดในสมัยที่สังคมยังมีค่านิยมแบบโบราณอยู่อย่างมากและอย่างหนักแน่น 

นักเรียนสมัยผม เมื่อแรกเข้าโรงเรียน พ่อแม่จะเป็นผู้พาไปฝากครู

คำพูดที่พ่อแม่ทุกคนจะบอกครูเหมือนกันหมดก็คือ “ยกให้เป็นลูกครู อนุญาตให้ดุด่าว่ากล่าวเฆี่ยนตีได้ทุกอย่าง” 

ที่ถือขลังขึ้นมาหน่อย ก็จะเลือกวันพฤหัสบดีซึ่งถือกันว่าเป็น “วันครู” จัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พานพาลูกไปมอบตัวให้ครู 

เวลาลูกสอบเข้าเรียนที่ไหนได้ คนเก่าๆ ยังพูดกันติดปากว่า “มอบตัวเมื่อไร” 

เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดว่า “มอบตัว” กันอีกแล้วกระมัง 

นักเรียนสมัยผม ครูคือพ่อแม่คนที่สอง มีอะไรเกิดขึ้นกับนักเรียน ครูจะตามไปถึงบ้าน

เด็กคนไหนถูกครูตี ไปฟ้องพ่อแม่ จะถูกพ่อแม่ตีซ้ำ – นี่เป็นเรื่องธรรมดาที่รู้กันดี

ผมเป็นเด็กวัด ตอนผมสอบไล่ประถม ๔ ไม่มีเงินซื้อกระดาษฟุลสแก๊ปเพื่อเขียนข้อสอบ 

ผมแก้ปัญหาแบบเด็ก คือไม่ไปโรงเรียน

วันนั้นครูเที่ยง-ครูประจำชั้น-ควบคุมดูแลเด็กชั้น ป.๔ ให้เข้าสอบ เหมือนแม่ไก่ดูแลลูกไก่นั่นแหละ

นับลูก ขาดไปตัวหนึ่ง

จะไปตามเอง ก็ห่วงลูกทั้งเล้า 

วานเด็กวัดรุ่นพี่ให้ไปตามในวัด 

รุ่นพี่ลากคอผมออกมาจากส้วมสำนักชี พาไปส่งครูเที่ยง เสื้อไม่ใส่ รองเท้าไม่ (มี) สวม นุ่งกางเกงหูรูดตัวเดียว

ลากไปส่งหน้าห้อง 

ผมยังไม่ทันนั่งเต็มตูด 

ฝ่ามือครูเที่ยงฟาดเต็มขมับ 

ผมถลาไปฟุบกลางห้องท่ามกลายสายตาเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น

“ไปใส่เสื้อ แล้วมาสอบเดี๋ยวนี้” ครูเที่ยงประกาศิต ทำท่าจะตามมาซ้ำอีกฉาด 

นึกถึงเรื่องนี้ เห็นภาพตัวเองถูกครูเที่ยงตบเต็มขมับ 

กระเด็นจากโรงเรียนวัดหนองกระทุ่ม 

มาเป็นพระมหาทองย้อย วรกวินฺโท เปรียญธรรม ๙ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ ราชบุรี

กระดอนไปเป็นนาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย อนุศาสนาจารย์แห่งราชนาวีไทย 

ผมถือว่าเป็น “ฝ่ามืออรหันต์” ที่แท้จริง 

เรื่องนี้ผมเคยเขียนเล่าแล้ว ไม่ลืมหรอกครับ แต่อยากเล่าอีก เพื่อเติมน้ำเลี้ยงหัวใจ

——————

ครูสมัยก่อนรักศิษย์เหมือนลูกแท้ๆ 

ครั้งหนึ่งเมื่อเป็นครูเป็นศิษย์กันแล้ว 

ก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดกาล

ทุกเวลา ทุกสถานที่ 

เดี๋ยวนี้ ครูตีนักเรียนไม่ได้ 

“ลูกข้า ครูอย่าแตะ”

มีเหตุผล มีงานวิจัยสารพัดที่จะยืนยันว่าครูไม่จำเป็นต้องตีเด็ก 

แม้แต่คำว่า “ลูกศิษย์” ก็ไม่มีใครพูดแล้ว

ตัดเหลือแค่ “ศิษย์” คำเดียว

ฉันไม่ใช่ลูกคุณ

คุณไม่ใช่พ่อแม่ฉัน 

คุณเป็นแค่ “คนรับจ้างสอน” 

ฉันจ่ายเงินเดือนให้คุณแล้ว

คุณรับค่าจ้างไปแล้ว

จบ

จากสมัยก่อน ครูตามลูกศิษย์ไปจนถึงบ้าน 

มาถึงสมัยนี้ ครูตามนักเรียนได้แค่ภายในรั้วโรงเรียน 

นอกโรงเรียน ไม่ใช่หน้าที่ 

เดี๋ยวนี้ แม้ภายในโรงเรียนนั่นเองก็ทำได้แค่ภายในห้องเรียนเท่านั้น

และทำเฉพาะหน้าที่ “บอกวิชา” เท่านั้น

เรื่องอื่น-ขอโทษ-อย่าเสือก 

ยิ่งในระดับอุดมศึกษาด้วยแล้ว ชัดเจนที่สุด 

จากความรักความผูกพันเหมือนพ่อแม่กับลูก 

เหลือเพียงแค่-คนขายวิชากับคนซื้อวิชา-เท่านั้น 

อาจมียกเว้นเฉพาะบางท่าน บางคน ในระดับจุลภาค

แต่ในระดับมหภาคแล้ว มันคือภาพแห่งความจริง 

ไม่ว่ามันจะมีสาเหตุมาจากใครหรือจากอะไรก็ตาม แต่พูดได้โดยไม่ผิดว่า ทุกฝ่ายต่างช่วยกันทำให้มันเกิดขึ้น

และกำลังเดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว

ไม่มีใครบอกได้ว่า —

จากสถานะเหมือนพ่อแม่กับลูกเมื่อวันวาน

มาเป็นคนขายวิชากับคนซื้อวิชาในวันนี้ 

แล้วจะเป็นอะไรต่อกันในวันพรุ่ง 

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร สถานะนั้นจะห่างจากความรักความผูกพันเหมือนพ่อแม่กับลูกออกไปมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ 

และนั่นหมายถึงห่างจากความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

——————

ในวงการพระสงฆ์ พระภิกษุสามเณรยังดำรงความเคารพพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ (พระคู่สวด) อยู่อย่างแน่นแฟ้น 

คนรุ่นเก่าท่านถือว่า –

พระอุปัชฌาย์คู่สวดเหมือนพ่อแม่ 

พระภิกษุสามเณร-รวมไปถึงคฤหัสถ์-ที่ทำหน้าที่สอนพระปริยัติธรรมให้เรา คือครูบาอาจารย์ที่ต้องเคารพอย่างยิ่ง

ท่านจึงดำรงความเคารพนับถือไว้อย่างสูงสม่ำเสมอ ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยังอยู่ในสมณเพศหรือลาสิกขาไปแล้วก็ตาม 

นับเป็นวัฒนธรรมที่มีคุณค่าสูงยิ่งในพระพุทธศาสนา

ชาววัด-อันหมายถึงผู้ที่ยังอยู่ในวัด ผู้เคยอยู่วัด ผู้ได้ดีและรอดตายไปจากวัด-จะดำรงรักษาสมบัติล้ำค่า-อันเป็นเครื่องแยกคนให้ต่างจากสัตว์-นี้ไว้ได้นานแค่ไหนเพียงไร ย่อมขึ้นอยู่กับว่ามีอุดมคติ มีอุดมการณ์ และมีสำนึกมากน้อยแค่ไหน 

เราเป็นเรา เราพิลาส

เราตามเขา เราพินาศ 

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๐ มีนาคม ๒๕๖๑

๑๖:๒๙

————

คำอธิบายภาพประกอบ 

Phramaha Kriangsak Warakitti 

ข้อความนี้คือที่มาของภาพถ่ายนะโยมอาจารย์อาตมาก็รู้สึกคุ้นๆมากเหมือนกับกับภาพนี้ว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ พระธรรมเจดีย์ รูปปัจจุบัน เมื่อเกือบ 32 ปีมาแล้วครั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระกิตติสารเมธี อาจารย์ได้ภาพถ่ายนี้มายังไง

“ถ่ายเมื่อปี2529 ที่กุฏิพระปริยัตยานุรักษ์ ชั้นบน คณะ10 สามเณรซ้ายมือสามเณรสุรหงษ์ โคกเลาะ กำแพงเพชร ขวาสามเณรสุพจน์ พิมพ์รัตน์ ร้อยเอ็ด คนถ่ายแฟนพี่อ๋าลูกคุณมณฑล ครับผม”

จากเพจ ศรีมงคล

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *