บทความเกี่ยวกับศาสนา-ภาษา-สังคม

ความจริงที่ต้องพูดกัน

ความจริงที่ต้องพูดกัน

———————

ท่านอาจารย์ Banjob Bannaruji ได้เขียนไว้ในเฟซบุ๊กของท่านเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2558 เวลา 18:47 ความตอนหนึ่งว่า –

……….

… จากประสบการณ์ที่ได้ในการทำงานนี้ บางปัญหาต้องพูดความจริงให้กระจ่าง เพราะถ้าไม่พูดความจริงการทำงานหรือการเจรจาเพื่อสันติก็เกิดไม่ได้ แต่สันติทุกวันนี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดความจริง เพราะเกรงจะกระทบกัน …

……….

———

เรื่องที่ญาติมิตรจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของผู้นำศาสนาอิสลามตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยจะขออาศัยคำของท่านอาจารย์ Banjob Bannaruji ดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักอ้าง คือพูดความจริงกัน 

เพราะฉะนั้น เมื่ออ่าน ขอได้โปรดเปิดใจให้กว้าง

อนึ่ง เรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาจะชวนทะเลาะกับพี่น้องมุสลิม ทั้งมิได้มีเจตนาจะให้เกิดความแตกแยก 

เพราะฉะนั้น ก็ขอได้โปรดเปิดใจให้กว้างยิ่งขึ้นเป็นพิเศษ

เบื้องต้น ขอเชิญอ่านจดหมายตามภาพเอกสารที่นำมาลงประกอบเรื่อง ผมคัดลอกข้อความในภาพมาไว้ในที่นี้ด้วยแล้ว ขอแรงญาติมิตรช่วยตรวจสอบกับข้อความในภาพ เพราะมีบางตัวอักษรที่ผมไม่แน่ใจว่าจะถอดมาถูกต้อง แต่ข้อใหญ่ใจความนั้นคงไม่ผิดพลาด

ข้อความเป็นดังนี้ครับ –

—————

๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐

เรื่อง ร่างรัฐธรรมนูญพุทธศักราช ๒๕๕๐

เรียน ท่านจุฬาราชมนตรี

อัสสลามูอาลัยกุม วาเราะห์มาตุลเลาะห์ วามาเราะห์กาดู

สิ่งที่ส่งมาด้วย 

๑. (หนังสือถึงประธาน ศนช.)

๒. (หนังสือถึงประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ๕๐)

ตามที่ท่านจุฬาราชมนตรีได้มีดำริ แสดงความเป็นห่วง กรณีมีกลุ่มองค์กรบางกลุ่มได้มีการเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต่อพี่น้องมุสลิมนั้น

กระผมขอเรียนว่าเกี่ยวกับกรณีนี้ กระผมได้ประสานกับประธานสภานิติบัญญัติและประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ปรากฏตามหนังสือที่ส่งมาแล้วด้วย กระผมจึงขอยืนยันให้กับท่านจุฬาราชมนตรีได้มีความมั่นใจ และสบายใจได้ว่าจะไม่มีการบรรจุให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ตามหนังสือที่ได้หารือกันและขอให้รีบดำเนินการปรับปรุงและจัดตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้ครบทุกจังหวัดโดยเร็ว

วัสสลาม

(ลงชื่อ) พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน

(พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน)

ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

—————

ขอได้โปรดทำความเข้าใจก่อนว่า

๑ จดหมายนี้ผมทำสำเนามาจากภาพในเฟซบุ๊ก (จำไม่ได้ว่าต้นเรื่องมาจากเฟซบุ๊กของท่านผู้ใด) เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ไม่ใช่เพิ่งเขียนขึ้นในเหตุการณ์ครั้งนี้

๒ มีความเห็นที่บอกกล่าวกันเสมอๆ ว่า ทั้งภาพทั้งเรื่องที่ปรากฏทางสื่อโซเชียลมีเดียนั้นเป็นสิ่งที่สามารถตัดต่อแต่งเติมเสริมสร้างขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดสามารถพิสูจน์ได้ว่านี่เป็นจดหมายปลอม ขอได้โปรดแสดงหลักฐานข้อพิสูจน์โดยพลัน

๓ แต่เนื่องจากเอกสารนี้ ตามวันเดือนปีที่ระบุไว้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ถ้าเป็นของปลอม ก็ควรจะมีหลักฐานบอกกล่าวกันมาเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ผมจึงควรมีสิทธิ์ที่จะเชื่อโดยสุจริตว่าเอกสารนี้เป็นของจริง และก็จึงควรจะมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตบนฐานแห่งความเชื่อนั้นได้

เมื่อบอกกล่าวให้เข้าใจตรงกันเช่นนี้แล้ว ก็จะขอบรรยายความต่อไป

—————

เริ่มกันตรงข้อความเริ่มต้น

“ท่านจุฬาราชมนตรีได้มีดำริ แสดงความเป็นห่วง กรณีมีกลุ่มองค์กรบางกลุ่มได้มีการเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต่อพี่น้องมุสลิม”

ถามว่า ผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทยเป็นห่วงเรื่องนี้ทำไม?

โดยเนื้อๆ แท้ๆ แล้ว การบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไม่มีทาง ไม่มีเหตุ ไม่ใช่ปัจจัยที่จะ “ก่อให้เกิดความแตกแยกต่อพี่น้องมุสลิม” แต่ประการใดเลยแม้แต่น้อย

การบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ใช่การบัญญัติให้ใครไปทำอะไรหรือไม่ทำอะไรต่อพี่น้องมุสลิมแต่ประการใดเลยทั้งสิ้น เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

พูดกันชัดๆ การบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไม่ได้ทำให้ศาสนาอิสลามหรือพี่น้องมุสลิมเสียสิทธิ์ใดๆ ที่เคยได้และที่จะพึงได้ต่อไป

จะบัญญัติหรือไม่บัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ อิสลามหรือพี่น้องมุสลิมก็ยังคงได้อะไรๆ ตลอดจนยังคงทำกิจทางศาสนาได้เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีใครไปแตะต้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทยเป็นห่วงอะไร และห่วงทำไม?

ถามใหม่ชัดๆ – ผู้นำศาสนาอิสลามในประเทศไทยเป็นห่วงอะไรกันแน่?

ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่กล้าพูดความจริง ผมจะขออนุญาตวิเคราะห์ให้ฟัง

วิเคราะห์ด้วยอุปมาอุปไมยน่าจะทำให้เข้าใจความจริงได้ง่าย

ขออุปมาเปรียบเทียบกับเรื่อง-เรือพุทธ

เรื่องก็คือ ชาวพุทธเป็นเจ้าของเรือลำหนึ่ง นอกจากชาวพุทเจ้าของเรือแล้วก็มีชาวคริสต์ อิสลาม พรามหมณ์ สิกข์ อาศัยอยู่ในเรือลำนี้ด้วย 

ทั้งเจ้าของเรือและผู้มาขออาศัยเรืออยู่ร่วมกันเป็นปกติสุขสืบมาช้านาน

อยู่มาวันหนึ่ง ชาวพุทธเจ้าของเรือเกิดความคิดจะตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า “เรือพุทธ”

ขอย้ำว่า จะตั้งชื่อเท่านั้น ตั้งชื่อว่า “เรือพุทธ” ตามข้อเท็จจริงแท้ๆ เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรอื่นเลย 

ชาวคริสต์ อิสลาม พรามหมณ์ สิกข์ ที่อาศัยอยู่ในเรือลำนี้ยังคงอยู่ในเรือลำนี้ได้ต่อไปเหมือนเดิม มีสิทธิ์มีเสียงมีส่วนในอะไรๆ เหมือนเดิมทุกประการ ไม่ถูกกระทบกระเทือนอะไรเลยแม้แต่น้อย 

แต่ชาวมุสลิม (ผู้นับถือศาสนาอิสลาม) ลุกขึ้นมาคัดค้านว่า การตั้งชื่อเรือแบบนั้นจะทำให้เกิดความแตกแยก

เหตุที่ลุกขึ้นมาคัดค้านทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนและไม่ได้เสียสิทธิ์อะไรเลยเช่นนี้ มองออกได้ไม่ยาก

เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ตัวอยากจะได้เป็นเจ้าของเรือเสียเองนั่นเอง

เพราะถ้าเกิดไปตั้งชื่อว่า “เรือพุทธ” เสียแล้ว ต่อไปในอนาคต (อันไม่ไกล) ที่ตัววางแผนไว้ว่าจะให้เรือลำนี้มีชื่อว่า “เรืออิสลาม” ก็จะทำได้ยากหรือทำไม่ได้ เพราะเมื่อตั้งชื่อว่า “เรือพุทธ” แล้ว คนทั้งโลกก็จะรับรู้ทั่วกันอย่างเป็นทางการว่า เรือลำนี้เป็นเรือพุทธ ใครจะมาเปลี่ยนให้เป็นเรืออื่นไปไม่ได้

นี่คือเหตุผลที่แท้จริง

ขออุปมาเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น

อุปมาเหมือนการจดทะเบียนสมรส

นายไทย (นามสมมุติจริง) มีภรรยา ๕ คน ชื่อนางพุทธ นางคริสต์ นางมุส นางพราหมณ์ นางสิกข์

นายไทยอยู่กินกับนางพุทธมาก่อนช้านาน ส่วนนางอื่นๆ นั้นเพิ่งจะมาได้กันทีหลัง

อยู่มา ทางการออกกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนสมรส ใจความว่าสามีภรรยาคู่ใด (คือสามีกับภรรยา ๑ คน) จะเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมายก็ให้ไปยื่นเรื่องขอจดทะเบียนสมรสกับทางราชการ

นายไทยประกาศว่า เนื่องจากนางพุทธเป็นเมียที่อยู่กินกันมาก่อนเมียอื่น เพราะฉะนั้นก็จะขอจดทะเบียนสมรสกับนางพุทธ ทั้งนี้เมียอื่นอีก ๔ คนก็ยังคงอยู่กินกันต่อไปเหมือนเดิม มีสิทธิ์มีส่วนในบ้านเหมือนเดิมทุกประการ

นางมุสร้องคัดค้าน อ้างว่า ถ้านายไทยจดทะเบียนสมรสกับนางพุทธก็จะทำให้เกิดความแตกแยกกับเมียอื่นๆ

เหตุผลลึกๆ ของนางมุสก็คือ นางต้องการจะได้เป็นเมียจดทะเบียนของนายไทยเสียเองนั่นเอง 

ถ้านายไทยจดทะเบียนกับนางพุทธเสียแล้ว ก็เท่ากับปิดโอกาสที่นางมุสจะได้เป็นเมียจดทะเบียน เพราะฉะนั้นนางจะยอมให้นายไทยจดทะเบียนกับนางพุทธไม่ได้เป็นอันขาด จึงต้องค้านไว้ก่อนและต้องค้านกันเรื่อยไปจนกว่านางจะหาวิธีจดทะเบียนกับนายไทยได้สำเร็จ

นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริง

—————

ที่ว่ามานั้นเป็นการวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ผู้นำศาสนาอิสลามคัดค้านการบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ-โดยอ้างถึงความแตกแยก

คราวนี้มาดูแผนรุกคืบ

ข้อความตอนท้ายของจดหมายมีว่า –

“ขอให้รีบดำเนินการปรับปรุงและจัดตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้ครบทุกจังหวัดโดยเร็ว”

จดหมายนี้จ่าหัวเรื่องว่าเป็นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึงว่าต้องการจะบอกให้ท่านจุฬาราชมนตรีสบายใจได้กรณีบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไม่มีในรัฐธรรมนูญแน่นอน

ข้อใหญ่ใจความก็ควรจบแค่นั้น

แต่ท่านผู้เขียนจดหมายกลับบอกเรื่องแผนการจัดตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดให้ครบทุกจังหวัด-แถมมาอีกด้วย

อ่านความรู้สึกว่าอย่างไรได้บ้าง

อ่านได้ว่า-พอเรื่องตีกันไม่ให้มีใครมาขวางทาง ทำได้สำเร็จ ก็เกิดความโล่งใจ ตามมาด้วยความกระหยิ่มใจ ทำให้เกิดความลิงโลดที่จะได้รุกคืบไปข้างหน้าจนไม่สามารถเก็บความรู้สึกนั้นไว้ได้ ต้องหยิบเอาแผนการที่ร่วมคิดกันไว้ออกมาพูดชี้ชวนกันชมเพราะได้เห็นความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า

แต่มองอีกแง่หนึ่ง ท่านผู้เขียนจดหมายอาจไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ยังไม่ควรแพร่งพรายให้คนทั่วไปรู้ 

หากแต่รู้สึกว่าเมื่อทำงานด้านหนึ่งสำเร็จไปได้สมใจ ก็น่าจะหยิบยกเอางานอีกด้านหนึ่งมาพูดกล่อมหัวใจกันให้เกิดความร่าเริงว่างานด้านนี้ก็จะต้องทำสำเร็จได้อีกเช่นกัน

—————

ความข้อท่อนท้ายของจดหมายนี้เป็นการยืนยันว่า อิสลามวางแผนยึดประเทศไทยให้เป็นแผ่นดินอิสลามจริง อย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

แผนก็คือ เมื่อทุกจังหวัดมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าได้มีการตั้งมัสยิดขึ้นได้แล้วอย่างน้อยจังหวัดละ ๓ แห่ง ด้วยเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินอันเป็นเงินของชาวพุทธเป็นส่วนใหญ่ ตามกรอบของพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ (เอาเงินของพุทธนั่นเองมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างพุทธ สะใจจริงๆ ฮ่าๆๆ)

ประกอบกับแผนเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมที่กำลังดำเนินการอยู่แล้วทุกวิถีทางอย่างขะมักเขม้น เมื่อถึงเวลาหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ต้องถึงระดับประชากรมุสลิมมีเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ อาจเพียงแค่ ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ ก็จะมีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่จะสามารถเสนอญัตติให้บัญญัติศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติได้แล้ว

ถึงตอนนั้น กระแสคัดค้านก็คงแทบจะไม่มี ถึงมีก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย เป็นอย่างที่เรียกเป็นสำนวนว่า “หมาเห่าใบตองแห้ง” เพราะชาวพุทธที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านคงแทบจะหมดแผ่นดินไทยไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟังเสียงค้านใดๆ

อีกประการหนึ่ง ก็เป็นที่เห็นกันชัดแล้วว่า การบัญญัติให้ศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลทางสังคม เช่นวัฒนธรรมของประชากร หรือแม้กระทั่งความต้องการของชาวศาสนาไหนแต่ประการใดทั้งสิ้น 

หากแต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ครองอำนาจ หรือเป็นผู้กุมการชี้นำผู้มีอำนาจในคณะผู้ร่างกฎหมายไว้ในกำมือได้เป็นสำคัญ 

ซึ่งกรณีนี้ก็พอจะเห็นวี่แววแล้วว่าอิสลามรุกคืบเข้ายึดหัวหาดกระบวนการทางกฎหมายได้แล้ว เพราะฉะนั้น เหตุผลทางสังคมจึงเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหลวมๆ พอไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป ซึ่งอัตราส่วนประชากรมุสลิม ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์นั้นน่าจะเป็นที่พอยอมรับได้สบายๆ แล้ว

ที่เป็นความโชคดีอย่างยิ่งของอิสลามก็คือ ถ้ามองในแง่ยุทธการ ก็สามารถรุกคืบไปข้างหน้าได้อย่างปลอดโปร่ง ไม่ต้องกลัวการต้านยัน เพราะแนวต้านของพุทธส่วนที่ตั้งใจสู้นับวันจะเหนื่อยล้าและร่วงโรย ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่แม้จะอยู่ในแนวรบ แต่ก็ไม่ได้คิดจะรบ หากแต่มุ่งจะได้เบี้ยเลี้ยงและบำเหน็จตอบแทนท่าเดียว ก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายคือผลประโยชน์ของตน สาละวนอยู่กับการไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนา ห่วงแต่จะเสียประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าห่วงจะสูญเสียแนวรบ เพราะฉะนั้นข้าศึกบุกด้านไหน ด้านนั้นก็ราบไปทุกทาง

อีกด้านหนึ่ง คือการตีตลบหลัง ด้านนี้อิสลามก็ไม่ต้องพะวงเลย ทั้งนี้เพราะเด็กไทยหรือคนไทยที่อายุตั้งแต่ ๔๐ ปีลงมาจนถึงทุกวันนี้และที่จะเกิดต่อไปนั้นเป็นชาวพุทธชนิดเลือดเจือจางจนแทบจะใช้การไม่ได้ คือเป็นคนรุ่นที่-ในช่วงชีวิตของแต่ละคนไม่เคยรู้สึกว่าพระพุทธศาสนามีประโยชน์อะไรกับประเทศชาติหรือแม้แต่กับตัวเขาเอง 

แต่ที่สำคัญก็คือ คนไทยหรือเด็กไทยส่วนมากหรือแทบทั้งหมดไม่เคยได้รับการอบรมปลูกฝังให้รู้สึกถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนาแต่ประการใดทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่า การปฏิเสธไม่บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติในครั้งนี้ (หรือครั้งไหนๆ) ชาวพุทธส่วนใหญ่ทั้งประเทศจำพวกที่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลามารับรู้เรื่องศาสนา ก็มิได้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนหรือเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแต่ประการใดทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ยังไม่นับจำพวกที่พอรู้เรื่องบ้าง แต่วางเฉย (บัญญัติก็ได้ ไม่บัญญัติก็ได้ อะไรก็ได้) ซึ่งมีอยู่มากมาย ตลอดจนจำพวกที่คัดค้านซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อย

กล่าวได้ว่า เมืองไทยไม่มี-และไม่ได้เตรียมกำลังสำรองหรือกำลังพลทดแทนที่จะใช้สำหรับปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา ต่อกรกับข้าศึก หรือแม้แต่ที่จะกอบกู้ทวงคืนแต่ประการใดทั้งสิ้น 

กำลังพลที่รักษาพระศาสนามาได้จนถึงรุ่นนี้ ถ้าหมดแล้วก็หมดเลย

ถ้าอิสลามได้แผ่นดินพุทธผืนนี้ไปจะเป็นการได้แบบขาดลอย ได้แล้วได้เลย ไม่ต้องห่วงว่าจะมีหน้าไหนมาทวงกลับคืนไปได้อีกตลอดกาลนาน

ตอนหน้า: แล้วเราจะทำอย่างไรกัน

นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

๑๔ มกราคม ๒๕๕๙

๑๕:๒๑

ดูโพสต์ในเฟซบุ๊กของครูทองย้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *